คำอธิบายขั้นตอนการแปลงเลขฐาน 
 | 
        
          | การแปลงเลขฐาน 8 10 16 เป็นฐาน 2 | 
            | 
        
          |    การแปลงเลขฐาน 8 เป็นฐาน 2 | 
            | 
        
          |     ค่าประจำหลักในเลขฐาน 8 จะมี 7 6 5 4 3 2 1 0 | 
            | 
        
          | 
 | 
          วิธีการคิด 
            
- นำเลขฐาน 8 มาแปลงเป็นเลขฐาน 2 โดยการแยกหาที่ละตัว เริ่มจากตัวแรกก่อน
 
- เลขฐาน 8 หนึ่งตัวจะมีค่าเท่ากับเลขฐาน 2 อยู่ 3 บิต คือ  22, 21, 20
 
- จากตัวอย่าง 5 แปลงเป็นเลข ฐาน 2 ก็จะได้ 101
 
- แนวการหาว่า 5 มาจากไหน เลขฐาน 8 หนึ่งตัวจะมีค่าเท่ากับเลขฐาน 2 อยู่ 3 บิต
 
- บิต 3 คือ 22  = 4, บิต 2 คือ 21  = 2 , บิต 1 คือ 20  = 1
 
หมายเหตุ ถ้าลบได้คือผลที่ได้ไม่ติดลบ ให้ได้ 1 ถ้าติดลบให้ได้ 0 และนำผลก่อนหน้าที่จะติดลบข้ามไปลบบิตต่อไป
- นำ 5 มาลบ กับ บิต 3 คือ 5 - 4 = 1 ได้ 1
 
- นำ 1 มาลบ กับ บิต 2 คือ 1 - 2 = -1 ผลที่ได้ติดลบ ได้ 0
 
- นำ 1 มาลบ กับ บิต 1 คือ 1- 1 = 0  ได้ 1
 
- ผลที่ได้คือ 58 เท่ากัน 1012 โดยการเรียงผลที่ได้จากบิต 1,2,3
 
 
 | 
        
          |     การแปลงลเขฐาน 10 เป็นฐาน 2 | 
            | 
        
          |     ค่าประจำหลักในเลขฐาน 10 จะมี 9 8 7 6 5 4 3 2 1 0 | 
        
          | 
 | 
          
วิธีการคิด 
- นำเลขฐาน 10 มาหาร จากตัวอย่างคือเลข 592
 
- นำเลข 592 มาหารด้วย 2 โดยใช้วิธีการหารยาวไปเรื่อยๆ
 
- นำเศษแต่ละครั้งที่ได้จะมีเลข 1 กับ 0
 
- นำมาเรียงเริมจากตัวล่างสุดจากตัวอย่างคือ 10010100002
 
- ผลลัพธ์ที่ได้เลข 10010100002
 
 
 | 
        
          |    การแปลงลเขฐาน 16 เป็นฐาน 2 | 
            | 
        
          |     ค่าประจำหลักในเลขฐาน 16 จะมี F E D C B  A 9 8 7 6 5 4 3 2 1 0 | 
            | 
        
          | 
 | 
          วิธีการคิด (จะเหมือนการคิดเลขฐาน 8) 
            
- นำเลขฐาน 16 มาแปลงเป็นเลขฐาน 2 โดยการแยกหาที่ละตัว เริ่มจากตัวแรกก่อน
 
- เลขฐาน 16 หนึ่งตัวจะมีค่าเท่ากับเลขฐาน 2 อยู่ 4 บิต คือ   23,22, 21, 20
 
- จากตัวอย่าง A แปลงเป็นเลข ฐาน 2 ก็จะได้ 1010
 
- แนวการหาว่า A มาจากไหน เลขฐาน 16 หนึ่งตัวจะมีค่าเท่ากับเลขฐาน 2 อยู่ 4 บิต
 
- บิต 4 คือ 23=8 ,บิต 3 คือ 22 = 4, บิต 2 คือ 21 = 2 , บิต 1 คือ 20 = 1
 
หมายเหตุ ถ้าลบได้คือผลที่ได้ไม่ติดลบ ให้ได้ 1 ถ้าติดลบให้ได้ 0 และนำผลก่อนหน้าที่จะติดลบข้ามไปลบบิตต่อไป
- นำ A มาลบ กับ บิต 4 คือ 10 - 8 = 2 ได้ 1      หมายเหตุ A คือ 10
 
- นำ 1 มาลบ กับ บิต 3 คือ 2 - 4 = -2 ผลที่ได้ติดลบ ได้ 0
 
- นำ 2  มาลบ กับ บิต 2 คือ 2 - 2= 0  ได้ 1
 
- นำ 0 มาลบ กับ บิต 1 คือ 0 - 1 = -1 ผลที่ได้ติดลบ ได้ 0
 
- ผลที่ได้คือ A16 เท่ากัน 10102 โดยการเรียงผลที่ได้จากบิต 1,2,3,4
 
 
 | 
        
          
__________________________________________________________________ 
 | 
        
          | การแปลงเลขฐาน 2 เป็นเลขฐาน 8 10 16 | 
            | 
        
          |    การแปลงเลขฐาน 2 เป็นฐาน 8 | 
            | 
        
          |     ค่าประจำหลักในเลขฐาน 8 จะมี 7 6 5 4 3 2 1 0 | 
            | 
        
          | 
 | 
          
วิธีการคิด 
- เลขฐาน 8 หนึ่งตัวจะมีค่าเท่ากับเลขฐาน 2 อยู่ 3 บิต
 
- วิธีการหาคือ 11011011 แบ่งออกเป็น 3 บิต คือ 011/010/110 *หมายเหตุ ถ้าแบ่งและตัวที่อยู่หน้าสุดเหลือ 1 หรือ 2 บิต ให้เพิ่ม 0 ใส่จนครบ 3 บิต
 
- บิต 3 คือ 22 = 4, บิต 2 คือ 21 = 2 , บิต 1 คือ 20 = 1
 
- ตัวอย่างวิธีการหา 110 = 6 
 
- นำตัวที่ 1 ของชุด คูณ บิต 3 คือ 1 x 4 = 4
 
- นำตัวที่ 2 ของชุด คูณ บิต 2 คือ 1 x 2 = 2
 
- นำตัวที่ 3 ของชุด คูณ บิต 1 คือ 0 x 1 = 0
 
- นำผลที่ได้มารวมกันคือ 4 + 2 + 0 = 6 
 
- ผลที่ได้คือ 68
 
 
 | 
        
          
การแปลงเลขฐาน 2 เป็นฐาน 10 
 | 
        
          |  ค่าประจำหลักในเลขฐาน 10 จะมี 9 8 7 6 5 4 3 2 1 0 | 
            | 
        
                       
            ตัวอย่าง  
                  เลขฐาน 2 คือ 11001 
               
                  1 x 20 = 1 
   
                  0 x 21 = 0 
   
                  0x 22  = 0 
   
                   1 x 23 = 8 
   
                  1 x 24 = 16 
   
     นำ 
              1 + 0 + 0 + 8 + 16 = 25 
               
     110012 = 2510 
   
           
           | 
          
วิธีการคิด 
- นำเลขฐาน 2 จากตัวอย่างคือ 11001
 
*หมายเหตุ 110012 นับจากหลังมาหน้า              
- นำเลขฐาน 2 ตัวที่ 1 คือ 1 คูณกับ บิต 1 ของฐาน  2 คือ 1 x 20 = 1
 
- นำเลขฐาน 2 ตัวที่ 2 คือ 0 คูณกับ บิต 2 ของฐาน  2 คือ  0 x 21 = 0
 
- นำเลขฐาน 2 ตัวที่ 3 คือ 0 คูณกับ บิต 3 ของฐาน  2 คือ  0x 22  = 0
 
- นำเลขฐาน 2 ตัวที่ 4 คือ 1 คูณกับ บิต 4 ของฐาน  2 คือ 1 x 23 = 8
 
- นำเลขฐาน 2 ตัวที่ 5 คือ 1 คูณกับ บิต 5 ของฐาน  2 คือ 1 x 24 = 16
 
- นำผลที่ได้มาบวกกัน ก็จะได้เลขฐาน 10 คือ 25
 
 
 | 
        
          |   การแปลงเลขฐาน 2 เป็นฐาน 16 | 
            | 
        
              ค่าประจำหลักในเลขฐาน 16 จะมี F E D C B  A 9 8 7 6 5 4 3 2 1 0 
           | 
            | 
        
          | 
 | 
          
วิธีการคิด 
- เลขฐาน 16 หนึ่งตัวจะมีค่าเท่ากับเลขฐาน 2 อยู่ 4 บิต
 
- วิธีการหาคือ 11011011100 แบ่งออกเป็น 3 บิต คือ 0110/1101/1100*หมายเหตุ ถ้าแบ่งและตัวที่อยู่หน้าสุดเหลือ 1,2 หรือ 3 บิต ให้เพิ่ม 0 ใส่จนครบ 4 บิต
 
- บิต 4 คือ 23 = 8, บิต 3 คือ 22 = 4 , บิต 2 คือ 21 = 2, บิต 1 คือ 20 = 1
 
- ตัวอย่างวิธีการหา 1100 = C 
 
- นำตัวที่ 1 ของชุด คูณ บิต 4 คือ 1 x 8 = 8
 
- นำตัวที่ 2 ของชุด คูณ บิต 3 คือ 1 x 4 = 4
 
- นำตัวที่ 3 ของชุด คูณ บิต 2 คือ 0 x 2 = 0
 
- นำตัวที่ 4 ของชุด คูณ บิต 1 คือ 0 x 1 = 0
 
- นำผลที่ได้มารวมกันคือ 8 + 4 + 0 + 0 = C
 
- ผลที่ได้คือ C16
 
 
 | 
        
          
___________________________________________________________________ 
 | 
        
          | การแปลงเลขฐาน 10 เป็นเลขฐาน 8  16 | 
            | 
        
          |   การแปลงเลขฐาน 10 เป็นฐาน 8 | 
            | 
        
          | 
 | 
          
วิธีการคิด 
- นำเลขฐาน 10 มาหาร จากตัวอย่างคือเลข 986
 
- นำเลข 592 มาหารด้วย 8 โดยใช้วิธีการหารยาวไปเรื่อยๆ
 
- นำเศษแต่ละครั้งที่ได้จะมีเลข 7 ถึง 0
 
- นำมาเรียงเริมจากตัวล่างสุดจากตัวอย่างคือ 1732
 
- ผลลัพธ์ที่ได้เลข 17328
 
 
 | 
        
          |   การแปลงเลขฐาน 10 เป็นฐาน 16 | 
            | 
        
          |     ค่าประจำหลักในเลขฐาน 16 จะมี F E D C B  A 9 8 7 6 5 4 3 2 1 0 | 
            | 
        
          | 
 | 
          
วิธีการคิด 
- นำเลขฐาน 10 มาหาร จากตัวอย่างคือเลข 598
 
- นำเลข 598 มาหารด้วย 16 โดยใช้วิธีการหารยาวไปเรื่อยๆ
 
- นำเศษแต่ละครั้งที่ได้จะมีเลข F(15) ถึง 0
 
- นำมาเรียงเริมจากตัวล่างสุดจากตัวอย่างคือ 256
 
- ผลลัพธ์ที่ได้เลข 25616
 
 
 | 
 
0 comments:
Post a Comment