Thursday, July 16, 2015


ระบบตัวเลข (Number System)

1.1     กล่าวนำ
ระบบตัวเลขที่เราได้ใช้กันมาตลอดตั้งแต่ที่เราจำความกันได้นั้น จะประกอบไปด้วยเลข 10ตัว คือ เลข 0,1,2,3,4,5,6,7,8,9 ซึ่งมนุษย์เราได้ใช้ระบบการนับเหล่านี้มาใช้ในการสื่อสาร บอกปริมาณ ขนาด ทำให้ทุกคนสามารถมีความเข้าใจตรงกันในการสื่อความหมาย ซึ่งระบบเลขนี้คือระบบเลขฐานสิบนั่นเอง
แต่ในปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะทางคอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนามาเป็นอย่างมาก ซึ่งหลักการทำงานของคอมพิวเตอร์นั้น จะมีลักษณะการทำงานภายในเพียง 2 จังหวะเท่านั้น คือ ON และ OFF ในลักษณะของวงจรสวิทชิ่งนั้นเอง จากลักษณะการทำงานของสวิทชิ่งนั้น เราสามารถนำระบบเลขฐานสองมาประยุกต์ใช้ในการสื่อความหมายแทนคำว่า ON และ OFF ของวงจรสวิทชิ่ง เนื่องจากเลขฐานสองจำนวนหลาย ๆ หลัก เมื่อนำมาสื่อความหมายแล้วจะทำให้เกิดความสับสนในการสื่อความซึ่งกันและกัน จึงเป็นการไม่สะดวกนักในการใช้เลขฐานสองเพียงอย่างเดียว เราจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาระบบเลขฐานอื่น ๆ ซึ่งมีความสะดวกในการสื่อความหมายและจะต้องมีความสะดวกในการแปลงค่ากับเลขฐานสอง ระบบเลขที่เรานิยมนำมาใช้คือระบบเลขฐานแปดและฐานสิบหกนั่นเอง

1.2     ระบบตัวเลข (Number System)
ระบบตัวเลขในแต่ละระบบจะมีจำนวนตัวเลขโดด (Digit) เท่ากับชื่อของระบบตัวเลขฐานนั้น ๆ ได้แก่
ระบบเลขฐานสอง (Binary number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 2 ตัว คือ 0 และ 1
ระบบเลขฐานห้า (Quinary number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 5 ตัว คือ 0, 1, 2, 3 และ 4 ระบบเลขนี้นิยมแพร่หลายในพวกเอสกิโม (Eskimos) และอินเดียนในอเมริกาเหนือ
ระบบเลขฐานแปด (Octal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 8 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6 และ 7
ระบบเลขฐานสิบ (Decimal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 10 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 และ 9
ระบบเลขฐานสิบสอง (Duodecimal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 12 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, a และ b ซึ่งระบบเลขฐานสิบสองนี้จะเห็นได้จากนาฬิกา นิ้วและฟุต โหลและกุรุส
ระบบเลขฐานสิบหก (Hexadecimal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 16 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, A, B, C, D, E และ F

1.3     ระบบเลขฐานสิบ
ระบบเลขฐานสิบเป็นระบบเลขพื้นฐานที่เราใช้สื่อความหมายมาโดยตลอด ซึ่งจะประกอบด้วยสัญลักษณ์ที่เป็นเลขโดด (Digit) จำนวน 10 ตัว คือ 0 ถึง 9 ในการเขียนเลขฐานสิบจะกระทำได้โดยการนำเลขโดด 1 ตัวมาเขียน ซึ่งสามารถเขียนค่าต่าง ๆ เรียงตามลำดับของมัน เช่น 0, 1, 2,…, 9 ซึ่งจะเห็นว่าถ้านำเลขโดดเพียง 1 ตัวมาใช้ในการเขียนเพื่อสื่อความหมายนั้น เลข 9 จะเป็นค่าสูงสุดแล้ว ในความเป็นจริงเราจำเป็นต้องใช้มากกว่านั้น นั่นหมายความว่าในการเขียนเลขโดยใช้เลขโดดเพียงตัวเดียวคงไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องนำเลขโดดหลาย ๆ ตัวมาเขียนประกอบกันเป็นค่าตัวเลขที่เราต้องการ เลข 9 ซึ่งเป็นค่าสูงสุด ถ้าเราสังเกตจะเห็นค่าตัวเลขที่เป็นตัวนำอยู่ คือ 0 นั่นเอง เราก็จะเห็นเป็น 09 หมายความว่าถ้าต้องการเพิ่มค่าให้มากกว่านี้อีก 1 ค่า เราจะต้องเปลี่ยนเลขในหลักต่ำสุดคือ เลข 9 ให้เป็นเลข 0 และเปลี่ยนค่าตัวนำให้เพิ่มขึ้นอีก 1 ค่า ซึ่งจะได้เป็น 10, 11, 12, …, 19, 20, 21, 22, …, 29, 30, 31, …, 99, 100, 101, …, 199, 200, 201, 202, …, 999, 1000, 1001, 1002, … (ลองสังเกตการเพิ่มค่าตัวเลขจากหน้าปัทม์บอกจำนวนระยะทางของรถยนต์ )
ตัวเลขโดดในการเขียนตัวเลขใด ๆ อาจจะมีค่าที่แตกต่างกัน เช่น 2000 และ 20 ตัวเลข 2 ของเลข 2 จำนวน จะมีความหมายซึ่งไม่เหมือนกัน หมายความว่าตัวเลขที่ปรากฏ ณ.ตำแหน่งต่าง ๆ จะมีน้ำหนักที่ไม่เหมือนกัน นั่นคือจำนวนเต็มในเลขฐานสิบ N ซึ่งมีตัวเลข n ตัว จะมีค่าเท่ากับผลบวกของสัมประสิทธิ์ตามน้ำหนัก หาได้ดังนี้
N10  =   an-1 (10)n-1 + an-2 (10)n-2 + … + a1 (10)1 + a0 (10)0
                ตัวอย่างเช่น 50891 เราสามารถเขียนในลักษณะของน้ำหนักประจำตำแหน่งได้ดังนี้
                50891    =     5 x 104  + 0 x 103  + 8 x 102  + 9 x 101  + 1 x 100
                ถ้าเป็นจำนวนทศนิยม เลขยกกำลังของฐานจะเริ่มตั้งแต่ –1 เป็นต้นไป
                n10  =   a-1 (10)-1 + a-2 (10)-2 + … + a-(m-1) (10)-m+1 + a-m (10)-m
                ฉะนั้นถ้าเลขนั้น ๆ ประกอบไปด้วยจำนวนเต็มและทศนิยมก็จะได้
N10=an-1(10)n-1+an-2(10)n-2+…+a1(10)1+a0(10)0+a-1(10)-1+a-2(10)-2+…+a-(m-1)(10)-m+1+a-m(10)-m


1.4     ระบบเลขฐานสอง
ระบบเลขฐานสองได้ถูกคิดค้นขึ้นโดยนักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ชื่อ “GOTTFRIED WILHELM”  ซึ่งใช้สัญลักษณ์เป็น 0 และ 1 เท่านั้น ทำให้ระบบเลขฐานสองนี้เหมาะสมในการนำมาประยุกต์แทนการอธิบายการทำงานของวงจรอิเล็กทรอนิกส์สวิทชิ่ง โดย ON จะแทน 1 และ OFF จะแทน 0
การนับเลขฐานสอง (Counting in Binary)
การนับเลขฐานสองจะมีหลักการเช่นเดียวกับการนับเลขฐานสิบ คือจะมีตัวนำและตามด้วยเลขพื้นฐาน เช่น
เลขฐานสิบ
เลขฐานสอง
เลขฐานสิบ
เลขฐานสอง
0
0
8
1000
1
1
9
1001
2
10
10
1010
3
11
11
1011
4
100
12
1100
5
101
13
1101
6
110
14
1110
7
111
15
1111
มีข้อสังเกตคือ  เลขฐานสอง 16 ตัวแรก จะเขียนด้วยตัวเลขขนาด 4 หลัก หรือ 4 บิทพอดี (bit ย่อมาจาก binary digit) และความสำคัญของตัวเลข ณ.ตำแหน่งต่าง ๆ ก็จะมีระดับความสำคัญที่แตกต่างกันเช่นเดียวกับเลขฐานสิบ นั่นคือ ตัวเลขที่อยู่ตำแหน่งซ้ายสุดของจำนวนเลขใด ๆ จะเป็นเลขที่มีนัยสำคัญสูงที่สุด (most significant digit (bit) ใช้ตัวย่อว่า msd หรือ msb) ส่วนตัวเลขที่อยู่ตำแหน่งขวาสุดของจำนวนเลขใด ๆ จะเป็นเลขที่มีนัยสำคัญต่ำที่สุด (least significant digit (bit) ใช้ตัวย่อว่า lsd หรือ lsb) และเช่นเดียวกับเลขฐานสิบเราสามาถเขียนเลขฐานสองในลักษณะเทียบค่าน้ำหนักประจำหลักได้เช่นกัน
N2  =   an-1 (2)n-1 + an-2 (2)n-2 + … + a1 (2)1 + a0 (2)0
และในกรณีเป็นทศนิยมจะได้
                n2  =   a-1 (2)-1 + a-2 (2)-2 + … + a-(m-1) (2)-m+1 + a-m (2)-m
                ฉะนั้นถ้าเลขนั้น ๆ ประกอบไปด้วยจำนวนเต็มและทศนิยมก็จะได้
N2  =  an-1 (2)n-1+ an-2 (2)n-2+…+ a1 (2)1+ a0 (2)0+ a-1 (2)-1+ a-2 (2)-2+…+ a-(m-1) (2)-m+1+ a-m (2)-m


1.5     ระบบเลขฐานแปด
ในการทำงานจริงของอิเล็กทรอนิกส์สวิทชิ่งนั้น เราสามารถแทนได้ด้วยเลขฐานสองก็จริง แต่ถ้าหากมีการบอกรายละเอียดเป็นขนาดจำนวนบิตต่าง ๆ ค่อนข้างมาก จะทำให้ไม่สะดวกนั้นในการที่จะใช้เลขฐานสองในการสื่อความหมาย ข้อเสียนี้ของเลขฐานสองทำให้เราจำเป็นต้องหาระบบเลขอื่น ๆ มาใช้แทน ซึ่งเลขฐานแปดเป็นระบบเลขระบบหนึ่งที่สามารถนำมาใช้แทนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสัญลักษณ์พื้นฐานของเลขฐานแปดประกอบไปด้วยค่าต่ำสุดคือ 0 และค่าสูงสุด คือ 7 ซึ่งสอดคล้องกับ ค่าต่ำสุดของเลขฐานสองจำนวน 3 บิต คือ 000 และค่าสูงสุดคือ 111 พอดี ทำให้เราสามารถเปลี่ยนระหว่างเลขฐานสองและเลขฐานแปดได้สะดวก
การนับจะนวนของระบบเลขฐานแปดก็จะมีลักษณะเดียวกับเลขฐานสองและฐานสิบคือจะต้องประกอบด้วยตัวนำ และตามด้วยตัวเลขพื้นฐาน
เลขฐานสิบ
เลขฐานแปด
เลขฐานสิบ
เลขฐานแปด
0
0
8
10
1
1
9
11
2
2
10
12
3
3
11
13
4
4
12
14
5
5
13
15
6
6
14
16
7
7
15
17

ซึ่งเขียนตามน้ำหนักประจำหลักจะได้
N8  =   an-1 (8)n-1 + an-2 (8)n-2 + … + a1 (8)1 + a0 (8)0
และในกรณีเป็นทศนิยมจะได้
                n8  =   a-1 (8)-1 + a-2 (8)-2 + … + a-(m-1) (8)-m+1 + a-m (8)-m
                ฉะนั้นถ้าเลขนั้น ๆ ประกอบไปด้วยจำนวนเต็มและทศนิยมก็จะได้
N8  =  an-1 (8)n-1+ an-2 (8)n-2+…+ a1 (8)1+ a0 (8)0+ a-1 (8)-1+ a-2 (8)-2+…+ a-(m-1) (8)-m+1+ a-m (8)-m

1.6     ระบบเลขฐานสิบหก
ระบบเลขฐานสิบหกมีลักษณะคล้ายเลขฐานแปด โดยค่าต่ำสุดของเลขฐานสิบหก คือ 0 จะมีค่าเท่ากับค่าต่ำสุดของเลขฐานสอง 4 บิต คือ 0000 และโดยค่าสูงสุดของเลขฐานสิบหก คือ F จะมีค่าเท่ากับค่าสูงสุดของเลขฐานสอง 4 บิต คือ 1111 ทำให้ระบบเลขฐานสิบหกจึงเป็นอีกระบบหนึ่งที่นิยมใช้แทนการกล่าวถึงเลขฐานสอง และปัจจุบันจะเป็นที่นิยมใช้เลขฐานสิบหกมากกว่าเลขฐานแปด
เลขฐานสิบ
เลขฐานสิบหก
เลขฐานสิบ
เลขฐานสิบหก
0
0
8
8
1
1
9
9
2
2
10
A
3
3
11
B
4
4
12
C
5
5
13
D
6
6
14
E
7
7
15
F

เลขฐานสิบหก N16 ซึ่งมีจำนวนเต็ม n หลัก จำนวนทศนิยม m หลัก จะมีค่าดังสมการ
N16  =  an-1(16)n-1+an-2(16)n-2+…+a1(16)1+a0(16)0+a-1(16)-1+a-2(16)-2+…+ a-(m-1)(16)-m+1+ a-m(8)-m

1.7     การแปลงเลขฐานสอง เลขฐานแปดและเลขฐานสิบหก ให้เป็น

เลขฐานสิบ

                เนื่อง จากมนุษย์มีความคุ้นเคยกับเลขฐานสิบสามารถเข้าใจเมื่อได้มีการสื่อความหมาย ด้วยเลขฐานสิบจึงทำให้เราต้องศึกษาวิธีการเปลี่ยนหรือแปลงค่าเลขฐานต่าง ๆ ให้เป็นเลขฐานสิบ เพื่อความเข้าใจได้มากขึ้น ซึ่งเราอาศัยหลักการเปลี่ยนเป็นเลขฐานสิบจากเลขฐานต่าง ๆ ได้ไม่ยากนัก สามารถแปลงเขฐานต่าง ๆ เป็นเลขฐานสิบได้โดยการนำเลขแต่ละตำแหน่งของฐานนั้น ๆ ไปคูณด้วยน้ำหนัก (Weighting) หรือค่าประจำหลักของเลขฐานนั้น ๆ แล้วนำมาบวกกัน เราก็จะได้ค่าออกมาเป็นเลขฐานสิบนั่นเอง

 

ตัวอย่างที่ 1.1       จงแปลงเลขฐานสอง 1101101 ให้เป็นเลขฐานสิบ

วิธีทำ     
             11011012       =    (1´26) + (1´25) + (0´24) + (1´23) + (1´22) + (0´21) + (1´20)
                      =    64   +   32   +   0   +   8   +   4   +   0   +   1
                      =    10910
               

ตัวอย่างที่ 1.2       จงแปลงเลขฐานสอง 0.1011 ให้เป็นเลขฐานสิบ

วิธีทำ     
             0.1011 2          =    (1´2-1) + (0´2-2) + (1´2-3) + (1´2-4)
                                      =    1´0.5  +  0´0.25  +  1´0.125  +  1´0.0625
                                      =    0.5   +   0   +   0.125   +   0.0625
                      =    0.687510

ตัวอย่างที่ 1.3       จงแปลงเลขฐานสอง 11101.011 ให้เป็นเลขฐานสิบ

วิธีทำ     
             11101.011 2   =    (1´24) + (1´23) + (1´22) + (0´21) + (1´20) + (0´2-1)+ (1´2-2)+ (1´2-3)
                                      =    1´16  +  1´8  +  1´4  +  0´2  +  1´1  +  0´0.5  +  1´0.25  +  1´0.125                             =             16  +  8  +  4  +  0  +  1  +  0  +  0.25  +  0.125
                                      =    29.37510

ตัวอย่างที่ 1.4       จงแปลงเลขฐานแปด 2374 ให้เป็นเลขฐานสิบ

วิธีทำ     
             23748              =    (2´83) + (3´82) + (7´81) + (4´80)
                                      =    2´512  + 3´64  + 7´8  +  4´1 
                                      =    1024  +  192  +  56  +  4
                                      =    127610

ตัวอย่างที่ 1.5       จงแปลงเลขฐานแปด 0.325 ให้เป็นเลขฐานสิบ

วิธีทำ     
             0.3258             =    (3´8-1) + (2´8-2) + (5´8-3)
                                      =    3´0.125 + 2´0.015625 + 5´0.001953
                                      =    0.375  +  0.3125  +  0.009765 
                                      =    0.41601510




ตัวอย่างที่ 1.6       จงแปลงเลขฐานสิบหก E5 ให้เป็นเลขฐานสิบ

วิธีทำ     

             E516                 =    (E´161) + (5´160)
                                      =    14´16  + 5´1 
                                      =    224  +  5 
                                      =    22910

ตัวอย่างที่ 1.7       จงแปลงเลขฐานสิบหก B2F8 ให้เป็นเลขฐานสิบ

วิธีทำ     
             B2F816            =    (B´163) + (2´162) + (F´161) + (8´160)
                                      =    11´4096 + 2´256 + 15´16 + 8´1
                                      =    45056  +  512 + 240 + 8 
                                      =    4581610

1.8     การแปลงเลขฐานสิบให้เป็น เลขฐานสอง เลขฐานแปดและ

เลขฐานสิบหก

การแปลงเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานใด ๆ ก็ตาม จะมีวิธีการคิดเช่นเดียวกัน โดยการแบ่งลักษณะการแปลงได้ 2 กรณี คือ

1. กรณีเลขฐานสิบที่ต้องการแปลงเป็นเลขจำนวนเต็ม เราทำการแปลงให้เป็นฐานใด ๆ ได้โดยการนำเลขจำนวนเต็มฐานสิบนั้น ๆ มาหารด้วยเลขฐานที่ต้องการเปลี่ยน โดยเก็บเศษที่เหลือจากการหารเอาไว้ จากนั้นนำคำตอบที่เหลือจากการหารนำไปหารกับเลขฐานที่ต้องการแปลงและเก็บเศษจากการหารเอาไว้อีก กระทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ จนกระทั่งไม่สามารถนำคำตอบที่เหลือจากการหารไปหารได้อีก เศษที่เหลือจากการหารในแต่ละครั้งนำมาเขียนรวมกันก็จะเป็นผลลัพธ์ของเลขฐานที่ต้องการเปลี่ยน โดยเศษที่เหลื่อจากการหารในครั้งแรกสุด จะเป็นตัวที่มีนัยสำคัญน้อยที่สุด (Least significant digit หรือ LSD) ส่วนเศษที่เหลือจากการหารในครั้งสุดท้ายจะเป็นตัวที่มีนัยสำคัญสูงที่สุด (Most significant digit หรือ MSD)





ตัวอย่างที่ 1.8       จงแปลง 2510 ให้เป็นเลขฐานสอง
วิธีทำ                                                                                      เศษ
                                25   ¸   2               =   12                      1              (LSD หรือ LSB)
                                12   ¸   2               =   6                        0                
                                6     ¸   2               =   3                        0                
                                3     ¸   2               =   1                        1                
                                1     ¸   2               =   0                        1              (MSD หรือ MSB)
                \  2510    =    110012

2. กรณีเลขฐานสิบที่ต้องการแปลงเป็นเลขเศษส่วน(เลขทศนิยม) ซึ่ง ไม่ใช่จำนวนเต็มเราทำการแปลงให้เป็นฐานใด ๆ ได้ โดยการนำเลขฐานสิบนั้น ๆ คูณด้วยเลขฐานที่จะเปลี่ยนแล้วเก็บค่าผลลัพธ์ที่ได้จากการคูณเฉพาะเลขจำนวน เต็มที่อยู่หน้าจุดทศนิยม จากนั้นนำคำตอบที่ได้จากการคูณในครั้งแรกเฉพาะเลขทศนิยมเท่านั้นมาทำการคูณ กับเลขฐานที่ต้องการเปลี่ยนอีกแล้วเก็บค่าผลลัพธ์ที่ได้จากการคูณเฉพาะเลข จำนวนเต็มที่อยู่หน้าจุดทศนิยมอีกครั้ง กระทำอย่านี้ซ้ำ ๆ จนกระทั่งได้คำตอบที่เราเห็นว่าเหมาะสม แล้วจึงนำค่าที่เราเก็บไว้มาเขียนเป็นเลขฐานที่เราต้องการซึ่งจะเป็นทศนิยม โดยค่าจำนวนเต็มที่ได้จากการเก็บในครั้งแรกจะเป็น MSD

ตัวอย่างที่ 1.8       จงแปลง 0.312510 ให้เป็นเลขฐานสอง
วิธีทำ                                                                                      จำนวนเต็มที่เก็บ
                                0.3125   ´   2       =   0.625                                0                              (MSD หรือ MSB)
                                0.625     ´   2       =   1.25                                  1                
                                0.25       ´   2        =   0.50                                  0                
                                0.50       ´   2        =   1.00                                  1                
                \  0.312510            =    0.01012

                กรณีเลขฐานสิบที่ต้องการแปลงเป็นเลขฐานอื่น ๆ  เป็นเลขที่ผสมระหว่างเลขจำนวนเต็มและเลขทศนิยม (เลขจำนวนจริง) ก็ให้ทำการแยกแปลง 2 ครั้ง โดยแยกแปลงแบบหารสำหรับจำนวนเต็ม และ คูณสำหรับทศนิยม แล้วนำคำตอบมารวมกัน



ตัวอย่างที่ 1.9       จงแปลง 18.62510 ให้เป็นเลขฐานสอง
วิธีทำ      แยกคิด 2 ครั้ง คือ 1810 และ 0.62510
                ) แปลง  1810  ให้เป็นฐานสอง
                                                                                                เศษ
                                18   ¸   2               =   9                        0              (LSD หรือ LSB)
                                9     ¸   2               =   4                        1                
                                4     ¸   2               =   2                        0                
                                2     ¸   2               =   1                        0                
                                1     ¸   2               =   0                        1              (MSD หรือ MSB)
                \  1810                 =    100102
                ) แปลง  0.62510  ให้เป็นฐานสอง
                                                                                                จำนวนเต็มที่เก็บ
                                0.625     ´   2       =   1.250                                1                              (MSD หรือ MSB)
                                0.250     ´   2       =   0.500                                0
                                0.5         ´   2        =   1.0                                     1
                                0.0         ´   2        =   0                                        0
                \  0.62510              =    0.1012
                \  18.62510            =    10010.1012

ตัวอย่างที่ 1.10     จงแปลง 359.2810 ให้เป็นเลขฐานแปด
วิธีทำ      แยกคิด 2 ครั้ง คือ 35910 และ 0.2810
                ) แปลง  35910  ให้เป็นฐานแปด
                                                                                                เศษ
                                359 ¸   8               =   44                      7              (LSD)
                                44   ¸   8               =   5                        4                
                                5     ¸   8               =   0                        5              (MSD)
                \  35910                 =    5478




                ) แปลง  0.2810  ให้เป็นฐานแปด
                                                                                                จำนวนเต็มที่เก็บ
                                0.28       ´   8        =   2.24                                  2                              (MSD)
                                0.24       ´   8        =   1.92                                  1
                                0.92       ´   8        =   7.36                                  7
                                0.36       ´   8        =   2.88                                  2
                                0.88       ´   8        =   7.04                                  7
                \  0.2810                =    0.217278
                \  359.2810            =    547.217278

ตัวอย่างที่ 1.11     จงแปลง 650.0510 ให้เป็นเลขฐานสิบหก
วิธีทำ      แยกคิด 2 ครั้ง คือ 65010 และ 0.0510
                ) แปลง  65010  ให้เป็นฐานสิบหก
                                                                                                เศษ
                                650 ¸   16            =   40                      10           คือ           A             (LSD)
                                40   ¸   16             =   2                        8                
                                2     ¸   16             =   0                        2              (MSD)
                \  65010                 =    28A16
                ) แปลง  0.0510  ให้เป็นฐานสิบหก
                                                                                                จำนวนเต็มที่เก็บ
                                0.05       ´   16     =   0.80                                  0                              (MSD)
                                0.80       ´   16     =   1.28                                  1
                                0.28       ´   16     =   3.48                                  3
                                0.48       ´   16     =   7.68                                  7
                                0.68       ´   16     =   10.88                                10           คือ           A
                \  0.0510                =    0.0137A16
                \  650.0510            =    28A.0137A16

1.9     การแปลงระหว่างเลขฐานแปดกับเลขฐานสอง

                จากหัวข้อที่เราได้ศึกษามาแล้ว ถ้าเราต้องการที่จะแปลงเลขระหว่างเลขฐานแปดกับเลขฐานสองนั้น เราจะกระทำได้โดยแปลงเลขฐานที่ต้องการแปลงให้เป็นเลขฐานสิบก่อนจากนั้นจึงค่อยแปลงจากเลขฐานสิบไปเป็นเลขฐานที่ต้องการ ซึ่งจะเห็นว่ามีวิธีการที่ยุ่งยากเสียเวลามาก ถ้าเราสังเกตจากตารางดังต่อไปนี้ ซึ่งเทียบค่าระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานแปดจะเห็นว่า ความสัมพันธ์ของเลขฐานแปดที่เป็นเลขพื้นฐาน 1 ตัว สามารถแทนด้วยเลขฐานสองขนาด 3 bit พอดี
เลขฐานสิบ
เลขฐานสอง
เลขฐานแปด
0
000
0
1
001
1
2
010
2
3
011
3
4
100
4
5
101
5
6
110
6
7
111
7

                ดังนั้นในการแปลงระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานแปดเราสามารถกระทำได้โดยการจับกลุ่มของเลขฐานสอง 3 bit ต่อเลขฐานแปด 1 หลัก โดยเทียบค่ากัน ตัวต่อตัว
ตัวอย่างที่ 1.12     จงแปลงเลขฐานแปดต่อไปนี้เป็นเลขฐานสอง
ก)                  478
ข)                  7528
ค)                  37.128
วิธีทำ
                )            478          =             100  1112
                )            7528        =             111  101  0102
                )            37.128       =             011  111 . 001 0102

ตัวอย่างที่ 1.13     จงแปลงเลขฐานสองต่อไปนี้เป็นเลขฐานแปด
ก)                  1011110012
ข)                  10111001102
ค)                  1001101.10112
วิธีทำ
                )            101 111 0012                        =             5 7 18
                )            001 011 100 1102                =             1 3 4 68
                )            001 001 101 . 101 1002         =             1 1 5 . 5 48

1.10   การแปลงระหว่างเลขฐานสิบหกกับเลขฐานสอง

                ใน ลักษณะเดียวกัน ถ้าเราต้องการที่จะแปลงเลขระหว่างเลขฐานสิบหกกับเลขฐานสองนั้น เราจะกระทำได้โดยแปลงเลขฐานที่ต้องการแปลงให้เป็นเลขฐานสิบก่อนจากนั้นจึง ค่อยแปลงจากเลขฐานสิบไปเป็นเลขฐานที่ต้องการ ซึ่งจะเห็นว่ามีวิธีการที่ยุ่งยากเสียเวลามากเช่นเดียวกัน ถ้าเราสังเกตจากตารางดังต่อไปนี้ ซึ่งเทียบค่าระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานสิบหกก็จะเห็นเช่นกันว่า ความสัมพันธ์ของเลขฐานสิบหกที่เป็นเลขพื้นฐาน 1 ตัว สามารถแทนด้วยเลขฐานสองขนาด 4 bit พอดี
เลขฐานสิบ
เลขฐานสอง
เลขฐานสิบหก
0
0000
0
1
0001
1
2
0010
2
3
0011
3
4
0100
4
5
0101
5
6
0110
6
7
0111
7
8
1000
8
9
1001
9
10
1010
A
11
1011
B
12
1100
C
13
1101
D
14
1110
E
15
1111
F
                ดังนั้นในการแปลงระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานสิบหกเราสามารถกระทำได้โดยการจับกลุ่มของเลขฐานสอง 4 bit ต่อเลขฐานสิบหก 1 หลัก โดยเทียบค่ากัน ตัวต่อตัวเช่นเดียวกับฐานแปด
ตัวอย่างที่ 1.14     จงแปลงเลขฐานสิบหกต่อไปนี้เป็นเลขฐานสอง
ก)                  CF3716
ข)                  975216
ค)                  D27.8216
วิธีทำ
)            CF3716                   =             1100  1111  0011  01112
                )            975216                              =             1001  0111  0101  00102
)            D27.8216                        =             1101  0010  0111 . 1000  00102

ตัวอย่างที่ 1.15     จงแปลงเลขฐานสองต่อไปนี้เป็นเลขฐานสิบหก
ก)                  1011101110012
ข)                  10111001111102
ค)                  100111101.1100112
วิธีทำ
                )            1011  1011  10012               =             B B 916
                )            0001  0111  0011  11102   =             1 7 3 E16
                )            0001  0011  1101 . 1100 11002            =             1 3 D . C C16

1.11   การบวกเลขฐานต่าง ๆ
                การบวกเลขฐานสอง         มีวิธีการคล้ายคลึงกับการบวกเลขฐานสิบแต่จะมีหลักเกณฑ์ที่ง่ายกว่า ดังนี้
                                0  +  0     =             0
                                0  +  1     =             1
                                1  +  0     =             1
                                1  +  1     =             0              ทดไปหลักต่อไปอีก   1

ตัวอย่างที่ 1.16    
                )            1002                           410
                                +102                                   +210
                                1102                                       610

                )            11112                        1510
                            +11002                                  +1210
                            110112                                      2710
                )            101.112                 
                            +  11.012                             
                            1001.002                                 

                การบวกเลขฐานแปด         มีวิธีการบวกคล้ายคลึงกับการบวกเลขฐานสิบเช่นเดียวกัน ซึ่งมีตารางการบวก ดังนี้
ตารางการบวกเลขฐานแปด
+
0
1
2
3
4
5
6
7
0
0
1
2
3
4
5
6
7
1
1
2
3
4
5
6
7
10
2
2
3
4
5
6
7
10
11
3
3
4
5
6
7
10
11
12
4
4
5
6
7
10
11
12
13
5
5
6
7
10
11
12
13
14
6
6
7
10
11
12
13
14
15
7
7
10
11
12
13
14
15
16

ตัวอย่างที่ 1.17     จงบวกเลขฐานแปดต่อไปนี้             
                )            758  +  338
                )            35278  +  6748

วิธีทำ

)                            758
                            +338                                        
                                            1308                                         
                )                            35278                    
                                            + 6748
                                                44238                                   

                การบวกเลขฐานสิบหก     มีวิธีการบวกคล้ายคลึงกับการบวกเลขฐานสิบเช่นเดียวกัน ซึ่งในขั้นแรกหากยังไม่มีความชำนาญในการบวกเลขฐานแปดและฐานสิบหกก็อาจจำเป็นต้องใช้ตารางการบวกช่วยได้ ดังนี้
ตารางการบวกเลขฐานสิบหก
+
0
1
2
3
4
5
6
7
8
9
A
B
C
D
E
F
0
0
1
2
3
4
5
6
7
8
9
A
B
C
D
E
F
1
1
2
3
4
5
6
7
8
9
A
B
C
D
E
F
10
2
2
3
4
5
6
7
8
9
A
B
C
D
E
F
10
11
3
3
4
5
6
7
8
9
A
B
C
D
E
F
10
11
12
4
4
5
6
7
8
9
A
B
C
D
E
F
10
11
12
13
5
5
6
7
8
9
A
B
C
D
E
F
10
11
12
13
14
6
6
7
8
9
A
B
C
D
E
F
10
11
12
13
14
15
7
7
8
9
A
B
C
D
E
F
10
11
12
13
14
15
16
8
8
9
A
B
C
D
E
F
10
11
12
13
14
15
16
17
9
9
A
B
C
D
E
F
10
11
12
13
14
15
16
17
18
A
A
B
C
D
E
F
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
B
B
C
D
E
F
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
1A
C
C
D
E
F
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
1A
1B
D
D
E
F
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
1A
1B
1C
E
E
F
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
1A
1B
1C
1D
F
F
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
1A
1B
1C
1D
1E

ตัวอย่างที่ 1.18     จงบวกเลขฐานสิบหกต่อไปนี้          
                                1A816  +  67B16

วิธีทำ                                                                                      คอลัมน์  3  2  1

                                                                                                                1 A 8
                                                                                                       +     6 7 B
                                                                                                                8 2 3




                วิธีคิด     
                                คอลัมน์ 1  :
                                                8  +  B    =             810  +  1110
=             1910
                                                =             16 + 3                              
                                                                =             1316                                                     ผลบวกคือ 3, ตัวทดคือ 1
                                คอลัมน์ 2  :
                                                1  + A  +  7            =             1  + 1010  +  710
=             1810
                                                                =             16 + 2                              
                                                                                =             1216                             ผลบวกคือ 2, ตัวทดคือ 1
                                คอลัมน์ 3  :
                                                1  +  1  +  6            =             810
=             816                           ผลบวกคือ 8, ไม่มีตัวทด

1.12   การลบเลขฐานต่าง ๆ
                การลบเลขฐานสอง            การลบเลขฐานสองก็จะมีลักษณะคล้ายกับการลบเลขฐานสิบโดยทั่วไป นั่นคือกรณีตัวตั้งมีค่ามากกว่าตัวลบ เราก็สามารถลบกันได้ทันที แต่หากตัวตั้งมีค่าน้อยกว่าตัวลบเราก็จำเป็นต้องยืมตัวถัดไปมา 1 ดังเช่นเลขฐานสิบ ซึ่งการลบเลขฐานสองมีตารางการลบดังนี้
                                0  -  0      =             0              ตัวยืม      0
                                0  -  1      =             -1            ตัวยืม      1
                                1  -  0      =             1              ตัวยืม      0
                                1  -  1      =             0              ตัวยืม      0

ตัวอย่างที่ 1.19     จงลบเลขฐานสองต่อไปนี้
                                1012  -  0112
วิธีทำ                                      1  0  12                                                    510
                                      -       0  1  12                                                 - 310
                                                0  1  02                                                    210

                การลบเลขฐานแปดและฐานสิบหก                การลบเลขฐานแปดและเลขฐานสิบหกจะมีหลักการเหมือนกับเลขฐานสองและเลขฐานสิบ แต่ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีควสมคุ้นเคยนักในการหักลบเลขหรือยืมค่าระหว่างหลักต่าง ๆ กัน ฉะนั้นหากยังไม่มีความชำนาญในการลบเลข ในระยะแรกเราสามารถ ใช้ตารางบวกเลขฐานแปดหรือตารางบวกเลขฐานสิบหก ช่วยในการหาผลลบได้ โดยดูว่าตัวตั้งหรือตัวลบเลขจำนวนใดมีค่าน้อยกว่า เปรียบเทียบทีละหลักเริ่มจาหลักที่มีนัยสำคัญน้อยที่สุด (LSD) นำเลขจำนวนที่น้อยกว่ามาไล่ตามคอลัมน์ริมซ้ายสุด เมื่อพบเลขตัวนี้แล้ว ก็ให้กวาดไปตามแนวนอนจนพบตัวเลขอีกตัวที่มากกว่า ผลลบของเลขสองจำนวนนี้คือ ตัวเลขบนสุดที่ตรงกับเลขในแถวนี้ เช่น 78 - 48 กระทำโดยใช้ 4 ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่านำมาไล่ที่คอลัมน์ริมซ้ายมือสุด เมื่อพบแล้วจึงกวาดมาตามแนวนอนทางขวามือจนพบเลข 7 มองขึ้นด้านบนสุดจะพบเลข 3 ซึ่งจะเป็นคำตอบที่เป็นผลลบของเลขสองจำนวนนี้

1.13   การคูณเลขฐานต่าง ๆ
                การคูณเลขฐานต่าง ๆ จะมีหลักการคูณที่เหมือนกับการคูณเลขฐานสิบ สำหรับการคูณเลขฐานสองนั้น ดูเหมือนว่าจะมีความง่ายเป็นอย่างมากในการคูณ เนื่องจาก 0 คูณอะไรก็จะได้ 0 ส่วน 1 นำไปคูณอะไร ก็จะได้ตัวตั้งนั้น และเนื่องจากว่าในการแปลงค่าระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานแปดและเลขฐานสิบหกนั้นมีความยุ่งยากน้อยมาก ทำให้ในการทำการบวก ลบ คูณ หาร ของเลขฐานแปดและเลขฐานสิบหก เราจึงนิยมเปลี่ยนเป็นเลขฐานสองก่อนแล้วจึงหาคำตอบ เสร็จแล้วจึงเปลี่ยนกลับเป็นเลขฐานแปดหรือเลขฐานสิบหกตามที่ต้องการ
ตารางการคูณเลขฐานสอง
´
0
1
0
0
0
1
0
1
ตัวอย่างที่ 1.20     จงคูณ 10112  ด้วย  10012   
วิธีทำ                                      10112
           ´10012
                                                10112
            00002
          00002
      10112     
      11000112

1.14   การหารเลขฐานต่าง ๆ
                การหารเลขฐานต่าง ๆ เราสามารถนำเอาตารางการคูณเลขฐานนั้น ๆ และนำความรู้จากเลขฐานสิบมาใช้ โดยจะหารเลขฐานสองจะเป็นการสะดวกที่สุด
ตัวอย่างที่ 1.21     จงคูณ 11002  ด้วย  1002   
วิธีทำ                                             112
        100 )1011
                                                   100
                                                     100
                                                      100
                                                      000

1.15   คอมพลีเมนต์ (Complement)
                ระบบเลขที่ใช้กันใน Computer จะเป็นเลข Binary ดังนั้นหากต้องการบวกและลบเลขจึงจำเป็นต้องมีทั้งวงจรบวกเลขและลบเลข จึงทำให้เกิดความยุ่งยากมาก อีกทั้งหากผลลัพธ์เกิดค่าที่ติดลบจะเกิดปัญหาว่าจะแสดงเครื่องหมายอย่างไร ดังนั้น ในระบบ Computer จะมีการนำ Complement มาใช้ในการลบเลขแต่จะใช้วิธีการบวกกับ Complement ของตัวลบ ซึ่งจะได้ผลลบ และหากผลลัพธ์เกิดมีค่าติดลบ ก็จะแสดงค่าผลลัพธ์เป็นเลข Complement
                การคอมพลีเมนต์เลขฐานสอง        ในระบบเลข Binary จะมี Complement อยู่ 2 อย่าง คือ
                1’s complement คือการกลับสถานะของสัญญาณ จาก 0 เป็น 1 และจาก 1 เป็น 0 ทุก ๆ บิต เช่น 1’s complement ของ 1100011 คือ 0011100
                2’s complement คือผลบวกของ 1’s complement กับ เช่น 2’s complement ของ 1100011 คือ 0011100 + 1 = 0011101 ซึ่งมีวิธีคิดแบบลัดคือ ให้มองจากบิตต่ำสุด(ขวาสุด) ไปยังบิตสูงสุด(ซ้ายสุด) หา 1 ตัวแรกให้พบ หากยังไม่พบ ให้คงค่าเดิมเอาไว้ จนกระทั้งพบ 1 ตัวแรกก็ยังคง 1 ไว้ หลังจากนั้นให้เปลี่ยนค่าที่เหลือ จาก0 เป็น 1 และ จาก 1 เป็น 0 ทั้งหมด
ตัวอย่างที่ 1.22
                                                Binary Number                   1’s complement                   2’s complement
                                                           10101                                  01010                                     01011
                                                           10111                                  01000                                     01001
                                                         111100                                000011                                   000100
                                                     11011011                           00100100                              00100101
                การคอมพลีเมนต์เลขฐานสิบ          ในระบบเลขฐานสิบจะมี Complement อยู่ 2 อย่าง เช่นกันคือ
                9’s complement คือการนำเลขฐานสิบในหลักต่าง ๆ แต่ละหลักมาลบกับ 9 เช่น 9’s complement ของ 115 คือ 999 – 115 = 884
                10’s complement คือ การนำ 9’s complement มาบวกกับ 1 เช่น 10’s complement ของ 115 คือ 999 – 115  + 1 = 885 
                การคอมพลีเมนต์เลขฐานแปด        ในระบบเลขฐานแปดจะมี Complement อยู่ 2 อย่าง เช่นกันคือ
                7’s complement คือการนำเลขฐานแปดในหลักต่าง ๆ แต่ละหลักมาลบกับค่าสูงสุดคือ 7 เช่น 7’s complement ของ 115 คือ 777 – 115 = 662
                8’s complement คือ การนำ 7’s complement มาบวกกับ 1 เช่น 8’s complement ของ 115 คือ 777 – 115  + 1 = 663
                การคอมพลีเมนต์เลขฐานสิบหก    ในระบบเลขฐานสิบหกจะมี Complement อยู่ 2 อย่าง เช่นกันคือ
                15’s complement คือการนำเลขฐานสิบหกในหลักต่าง ๆ แต่ละหลักมาลบกับค่าสูงสุดคือ F เช่น 15’s complement ของ 115 คือ FFF – 115 = EEA
                16’s complement คือ การนำ 15’s complement มาบวกกับ 1 เช่น 16’s complement ของ 115 คือ FFF – 115  + 1 = EEB
                จะเห็นว่าทุก ๆ ฐาน จะมีคอมพลีเมนต์ของแต่ละฐานอยู่ 2 ชนิด คือคอมพลีเมนต์ฐาน (radix complement or r’s complement) เช่น คอมพลีเมนต์ของ 2 (2 r’s complement) ซึ่งเป็นของระบบเลขฐานสอง หรือ คอมพลีเมนต์ของ 10 (10 r’s complement) ซึ่งเป็นของระบบเลขฐานสิบ
                ส่วนคอมพลีเมนต์อีกชนิดหนึ่งคือ คอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่ง (radix-minus-one  complement หรือ diminished radix complement or (r-1)’s complement) เช่น คอมพลีเมนต์ของ 1 (1 r’s complement) ซึ่งเป็นของระบบเลขฐานสอง หรือ คอมพลีเมนต์ของ 9 (9 r’s complement) ซึ่งเป็นของระบบเลขฐานสิบ

1.16   การลบเลขโดยใช้คอมพลีเมนต์ฐาน
                จากประโยชน์ของเลขคอมพลีเมนต์ที่ใช้ในการหาผลลบของระบบเลขโดยใช้การบวกและสามารถแสดงค่าที่ติดลบได้นั้น ทำให้ในระบบ computer นิยมนำ complement ใช้ในการลบเลข ซึ่งากใช้คอมพลีเมนต์ฐานในการลบเลขมีวิธีการคิดดังนี้
1)      หาคอมพลีเมนต์ฐานของตัวลบ ถ้าตัวลบมีจำนวนหลักน้อยกว่าตัวตั้ง ก็ต้องทำจำนวนหลักของตัวลบให้มีจำนวนหลักเท่ากับตัวตั้งก่อนแล้วจึงหาค่อยคอมพลีเมนต์ฐาน
2)      นำตัวตั้งมาบวกกับคอมพลีเมนต์ฐานของตัวลบที่หาได้จากข้อ 1)
3)      ตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้จากการบวกในข้อ 2) ว่ามีตัวทดสุดท้าย (End around carry)หรือไม่
-          ถ้ามี End around carry ให้ตัดทิ้ง ที่เหลือจะได้ค่าผลลัพธ์ที่ได้จากการลบ โดยมีค่าเป็นบวก
-          ถ้าไม่มี End around carry ก็ให้หาคอมพลีเมนต์ฐานของผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ที่ได้จาการลบตามต้องการ แต่มีค่าเป็นลบ
ตัวอย่างที่ 1.23     จงลบเลขฐานสองต่อไปนี้ โดยใช้  2’s complement
ก)                  1100 – 1011
ข)                  10011 – 11100
วิธีทำ      )            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 2’s complement
                                          1100                                                                                                       1100
                                      -   1011                                            2’s complement                          + 0101
                                          0001                             มี End around carry ให้ตัดทิ้ง                 1  0001
                                ผลลบ คือ 0001
)            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 2’s complement
                                          10011                                                                                                    10011
                                      -   11100                                          2’s complement                          + 00100
                                      -   01001                          ไม่มี End around carry                                 10111
                                ผลลบ คือ –( 2’s complement ของ 10111) =  -01001

ตัวอย่างที่ 1.24     จงลบเลขฐานสิบต่อไปนี้ โดยใช้  10’s complement
ก)      196  – 155
ข)      3250 – 72532
วิธีทำ      )            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 10’s complement
                                          196                                                                                                         196
                                      -   155                                              10’s complement                       + 845
                                            41                               มี End around carry ให้ตัดทิ้ง                 1  041
                                ผลลบ คือ 41

)            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 10’s complement
                                            3250                                                                                                       3250
                                      -   75232                                          10’s complement                       + 27468
                                      -   69282                          ไม่มี End around carry                                 30718
                                ผลลบ คือ –( 10’s complement ของ 30718) =  -69282

1.16   การลบเลขโดยใช้คอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่ง
                การ ใช้คอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่งในการหาผลลบของระบบเลขโดยใช้การบวกจะมีวิธีการที่ เหมือนกับการลบโดยใช้คอมพลีเมนต์ฐานแต่ต่างกันตรงการพิจารณาตัวทดสุดท้าย (End around carry) ซึ่งากใช้คอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่งในการลบเลขมีวิธีการคิดดังนี้
1)      หาคอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่งของตัวลบ ถ้าตัวลบมีจำนวนหลักน้อยกว่าตัวตั้ง ก็ต้องทำจำนวนหลักของตัวลบให้มีจำนวนหลักเท่ากับตัวตั้งก่อนแล้วจึงหาค่อยคอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่ง
2)      นำตัวตั้งมาบวกกับคอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่งของตัวลบที่หาได้จากข้อ 1)
3)      ตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้จากการบวกในข้อ 2) ว่ามีตัวทดสุดท้าย (End around carry)หรือไม่
-          ถ้ามี End around carry ให้นำไปบวกกับหลักที่มีนัยสำคัญน้อยที่สุด (LSD) ซึ่งจะได้ค่าผลลัพธ์ที่ได้จากการลบตามต้องการ โดยมีค่าเป็นบวก
-          ถ้าไม่มี End around carry ก็ให้หาคอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่งของผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ที่ได้จาการลบตามต้องการ แต่มีค่าเป็นลบ
ตัวอย่างที่ 1.25     จงลบเลขฐานสองต่อไปนี้ โดยใช้  1’s complement
ก)      11001 – 10011
ข)      1001 – 1100
วิธีทำ      )            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 1’s complement
                                          11001                                                                                                    11001
                                      -   10011                                          1’s complement                          + 01100
                                          00110                          มี End around carry ให้บวกเพิ่ม            1  00101
                                                                                                                                                                +  1
                                                                                                                                                         00110
                                ผลลบ คือ 00110

)            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 1’s complement
                                          1001                                                                                                       1001
                                      -   1101                                            1’s complement                          + 0010
                                      -   0100                            ไม่มี End around carry                                 1011
                                ผลลบ คือ –( 1’s complement ของ 1011) =  -0100

ตัวอย่างที่ 1.24     จงลบเลขฐานสิบต่อไปนี้ โดยใช้  9’s complement
ค)      54  – 21
ง)      3250 – 72532
วิธีทำ      )            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 9’s complement
                                          54                                                                                           54
                                      -   21                                 9’s complement                        + 78
                                          33                 มี End around carry ให้บวกเพิ่ม            1  32
                                                                                                                                                        +  1
                                                                                                                                                         33
                                ผลลบ คือ 33
)            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 9’s complement
                                            3250                                                                                                       3250
                                      -   75232                                          9’s complement                          + 27467
                                      -   69282                          ไม่มี End around carry                                 30717
                                ผลลบ คือ –( 10’s complement ของ 30717) =  -69282





Categories:

0 comments:

Post a Comment

Subscribe to RSS Feed Follow me on Twitter!