ระบบตัวเลข (Number System)
1.1     กล่าวนำ
ระบบตัวเลขที่เราได้ใช้กันมาตลอดตั้งแต่ที่เราจำความกันได้นั้น
จะประกอบไปด้วยเลข 10ตัว คือ เลข 0,1,2,3,4,5,6,7,8,9
ซึ่งมนุษย์เราได้ใช้ระบบการนับเหล่านี้มาใช้ในการสื่อสาร บอกปริมาณ
ขนาด ทำให้ทุกคนสามารถมีความเข้าใจตรงกันในการสื่อความหมาย
ซึ่งระบบเลขนี้คือระบบเลขฐานสิบนั่นเอง
แต่ในปัจจุบัน
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะทางคอมพิวเตอร์ได้ถูกพัฒนามาเป็นอย่างมาก
ซึ่งหลักการทำงานของคอมพิวเตอร์นั้น จะมีลักษณะการทำงานภายในเพียง 2 จังหวะเท่านั้น
คือ ON และ OFF ในลักษณะของวงจรสวิทชิ่งนั้นเอง
จากลักษณะการทำงานของสวิทชิ่งนั้น
เราสามารถนำระบบเลขฐานสองมาประยุกต์ใช้ในการสื่อความหมายแทนคำว่า ON และ OFF ของวงจรสวิทชิ่ง
เนื่องจากเลขฐานสองจำนวนหลาย ๆ หลัก
เมื่อนำมาสื่อความหมายแล้วจะทำให้เกิดความสับสนในการสื่อความซึ่งกันและกัน จึงเป็นการไม่สะดวกนักในการใช้เลขฐานสองเพียงอย่างเดียว
เราจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาระบบเลขฐานอื่น ๆ
ซึ่งมีความสะดวกในการสื่อความหมายและจะต้องมีความสะดวกในการแปลงค่ากับเลขฐานสอง
ระบบเลขที่เรานิยมนำมาใช้คือระบบเลขฐานแปดและฐานสิบหกนั่นเอง
1.2     ระบบตัวเลข (Number System)
ระบบตัวเลขในแต่ละระบบจะมีจำนวนตัวเลขโดด
(Digit) เท่ากับชื่อของระบบตัวเลขฐานนั้น ๆ ได้แก่
ระบบเลขฐานสอง (Binary number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 2 ตัว คือ 0 และ 1
ระบบเลขฐานห้า (Quinary number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 5 ตัว คือ 0,
1, 2, 3 และ 4 ระบบเลขนี้นิยมแพร่หลายในพวกเอสกิโม
(Eskimos) และอินเดียนในอเมริกาเหนือ
ระบบเลขฐานแปด (Octal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 8 ตัว คือ 0,
1, 2, 3, 4, 5, 6 และ 7 
ระบบเลขฐานสิบ (Decimal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 10 ตัว คือ 0,
1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 และ 9 
ระบบเลขฐานสิบสอง (Duodecimal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 12 ตัว คือ 0,
1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, a และ b ซึ่งระบบเลขฐานสิบสองนี้จะเห็นได้จากนาฬิกา
นิ้วและฟุต โหลและกุรุส
ระบบเลขฐานสิบหก (Hexadecimal number system) จะประกอบด้วยเลขโดดพื้นฐานจำนวน 16 ตัว คือ 0,
1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9, A, B, C, D, E และ F 
1.3     ระบบเลขฐานสิบ
ระบบเลขฐานสิบเป็นระบบเลขพื้นฐานที่เราใช้สื่อความหมายมาโดยตลอด
ซึ่งจะประกอบด้วยสัญลักษณ์ที่เป็นเลขโดด (Digit) จำนวน 10 ตัว
คือ 0 ถึง 9 ในการเขียนเลขฐานสิบจะกระทำได้โดยการนำเลขโดด
1 ตัวมาเขียน ซึ่งสามารถเขียนค่าต่าง ๆ เรียงตามลำดับของมัน
เช่น 0, 1, 2,…, 9 ซึ่งจะเห็นว่าถ้านำเลขโดดเพียง 1 ตัวมาใช้ในการเขียนเพื่อสื่อความหมายนั้น เลข 9 จะเป็นค่าสูงสุดแล้ว
ในความเป็นจริงเราจำเป็นต้องใช้มากกว่านั้น
นั่นหมายความว่าในการเขียนเลขโดยใช้เลขโดดเพียงตัวเดียวคงไม่เพียงพอ
เราจำเป็นต้องนำเลขโดดหลาย ๆ ตัวมาเขียนประกอบกันเป็นค่าตัวเลขที่เราต้องการ เลข 9
ซึ่งเป็นค่าสูงสุด ถ้าเราสังเกตจะเห็นค่าตัวเลขที่เป็นตัวนำอยู่ คือ
0 นั่นเอง เราก็จะเห็นเป็น 09 หมายความว่าถ้าต้องการเพิ่มค่าให้มากกว่านี้อีก
1 ค่า เราจะต้องเปลี่ยนเลขในหลักต่ำสุดคือ เลข 9 ให้เป็นเลข 0 และเปลี่ยนค่าตัวนำให้เพิ่มขึ้นอีก 1
ค่า ซึ่งจะได้เป็น 10, 11, 12, …, 19, 20, 21, 22, …, 29,
30, 31, …, 99, 100, 101, …, 199, 200, 201, 202, …, 999, 1000, 1001, 1002, … (ลองสังเกตการเพิ่มค่าตัวเลขจากหน้าปัทม์บอกจำนวนระยะทางของรถยนต์ )
ตัวเลขโดดในการเขียนตัวเลขใด
ๆ อาจจะมีค่าที่แตกต่างกัน เช่น 2000 และ 20 ตัวเลข 2 ของเลข 2 จำนวน จะมีความหมายซึ่งไม่เหมือนกัน
หมายความว่าตัวเลขที่ปรากฏ ณ.ตำแหน่งต่าง ๆ
จะมีน้ำหนักที่ไม่เหมือนกัน นั่นคือจำนวนเต็มในเลขฐานสิบ N ซึ่งมีตัวเลข
n ตัว จะมีค่าเท่ากับผลบวกของสัมประสิทธิ์ตามน้ำหนัก
หาได้ดังนี้
N10  =   an-1 (10)n-1
+ an-2 (10)n-2 + … + a1 (10)1 + a0
(10)0 
                ตัวอย่างเช่น 50891 เราสามารถเขียนในลักษณะของน้ำหนักประจำตำแหน่งได้ดังนี้
                50891    =     5 x 104  + 0 x 103  + 8 x 102  + 9 x 101  + 1 x 100
                ถ้าเป็นจำนวนทศนิยม เลขยกกำลังของฐานจะเริ่มตั้งแต่ –1 เป็นต้นไป 
                n10  =   a-1 (10)-1 +
a-2 (10)-2 + … + a-(m-1) (10)-m+1 +
a-m (10)-m 
                ฉะนั้นถ้าเลขนั้น ๆ ประกอบไปด้วยจำนวนเต็มและทศนิยมก็จะได้
N10=an-1(10)n-1+an-2(10)n-2+…+a1(10)1+a0(10)0+a-1(10)-1+a-2(10)-2+…+a-(m-1)(10)-m+1+a-m(10)-m
1.4     ระบบเลขฐานสอง
ระบบเลขฐานสองได้ถูกคิดค้นขึ้นโดยนักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน
ชื่อ “GOTTFRIED
WILHELM”  ซึ่งใช้สัญลักษณ์เป็น
0 และ 1 เท่านั้น ทำให้ระบบเลขฐานสองนี้เหมาะสมในการนำมาประยุกต์แทนการอธิบายการทำงานของวงจรอิเล็กทรอนิกส์สวิทชิ่ง
โดย ON จะแทน 1 และ OFF จะแทน 0 
การนับเลขฐานสอง (Counting in Binary) 
การนับเลขฐานสองจะมีหลักการเช่นเดียวกับการนับเลขฐานสิบ
คือจะมีตัวนำและตามด้วยเลขพื้นฐาน เช่น
| 
   
เลขฐานสิบ 
 | 
  
   
เลขฐานสอง 
 | 
  
   
เลขฐานสิบ 
 | 
  
   
เลขฐานสอง 
 | 
 
| 
   
0 
 | 
  
   
0 
 | 
  
   
8 
 | 
  
   
1000 
 | 
 
| 
   
1 
 | 
  
   
1 
 | 
  
   
9 
 | 
  
   
1001 
 | 
 
| 
   
2 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
1010 
 | 
 
| 
   
3 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
1011 
 | 
 
| 
   
4 
 | 
  
   
100 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
1100 
 | 
 
| 
   
5 
 | 
  
   
101 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
1101 
 | 
 
| 
   
6 
 | 
  
   
110 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
1110 
 | 
 
| 
   
7 
 | 
  
   
111 
 | 
  
   
15 
 | 
  
   
1111 
 | 
 
มีข้อสังเกตคือ  เลขฐานสอง 16 ตัวแรก จะเขียนด้วยตัวเลขขนาด
4 หลัก หรือ 4 บิทพอดี (bit ย่อมาจาก binary digit) และความสำคัญของตัวเลข
ณ.ตำแหน่งต่าง ๆ
ก็จะมีระดับความสำคัญที่แตกต่างกันเช่นเดียวกับเลขฐานสิบ นั่นคือ
ตัวเลขที่อยู่ตำแหน่งซ้ายสุดของจำนวนเลขใด ๆ จะเป็นเลขที่มีนัยสำคัญสูงที่สุด (most
significant digit (bit) ใช้ตัวย่อว่า msd หรือ
msb) ส่วนตัวเลขที่อยู่ตำแหน่งขวาสุดของจำนวนเลขใด ๆ
จะเป็นเลขที่มีนัยสำคัญต่ำที่สุด (least significant digit (bit) ใช้ตัวย่อว่า lsd หรือ lsb) และเช่นเดียวกับเลขฐานสิบเราสามาถเขียนเลขฐานสองในลักษณะเทียบค่าน้ำหนักประจำหลักได้เช่นกัน
N2  =   an-1 (2)n-1
+ an-2 (2)n-2 + … + a1 (2)1 + a0
(2)0 
และในกรณีเป็นทศนิยมจะได้
                n2  =   a-1 (2)-1 +
a-2 (2)-2 + … + a-(m-1) (2)-m+1 + a-m
(2)-m 
                ฉะนั้นถ้าเลขนั้น ๆ ประกอบไปด้วยจำนวนเต็มและทศนิยมก็จะได้
N2  = 
an-1 (2)n-1+ an-2 (2)n-2+…+
a1 (2)1+ a0 (2)0+ a-1 (2)-1+
a-2 (2)-2+…+ a-(m-1) (2)-m+1+ a-m
(2)-m
1.5     ระบบเลขฐานแปด
ในการทำงานจริงของอิเล็กทรอนิกส์สวิทชิ่งนั้น
เราสามารถแทนได้ด้วยเลขฐานสองก็จริง
แต่ถ้าหากมีการบอกรายละเอียดเป็นขนาดจำนวนบิตต่าง ๆ ค่อนข้างมาก
จะทำให้ไม่สะดวกนั้นในการที่จะใช้เลขฐานสองในการสื่อความหมาย
ข้อเสียนี้ของเลขฐานสองทำให้เราจำเป็นต้องหาระบบเลขอื่น ๆ มาใช้แทน
ซึ่งเลขฐานแปดเป็นระบบเลขระบบหนึ่งที่สามารถนำมาใช้แทนได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากสัญลักษณ์พื้นฐานของเลขฐานแปดประกอบไปด้วยค่าต่ำสุดคือ 0 และค่าสูงสุด คือ 7 ซึ่งสอดคล้องกับ
ค่าต่ำสุดของเลขฐานสองจำนวน 3 บิต คือ 000 และค่าสูงสุดคือ 111 พอดี
ทำให้เราสามารถเปลี่ยนระหว่างเลขฐานสองและเลขฐานแปดได้สะดวก 
การนับจะนวนของระบบเลขฐานแปดก็จะมีลักษณะเดียวกับเลขฐานสองและฐานสิบคือจะต้องประกอบด้วยตัวนำ
และตามด้วยตัวเลขพื้นฐาน
| 
   
เลขฐานสิบ 
 | 
  
   
เลขฐานแปด 
 | 
  
   
เลขฐานสิบ 
 | 
  
   
เลขฐานแปด 
 | 
 
| 
   
0 
 | 
  
   
0 
 | 
  
   
8 
 | 
  
   
10 
 | 
 
| 
   
1 
 | 
  
   
1 
 | 
  
   
9 
 | 
  
   
11 
 | 
 
| 
   
2 
 | 
  
   
2 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
12 
 | 
 
| 
   
3 
 | 
  
   
3 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
13 
 | 
 
| 
   
4 
 | 
  
   
4 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
14 
 | 
 
| 
   
5 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
15 
 | 
 
| 
   
6 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
16 
 | 
 
| 
   
7 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
15 
 | 
  
   
17 
 | 
 
ซึ่งเขียนตามน้ำหนักประจำหลักจะได้
N8  =   an-1 (8)n-1
+ an-2 (8)n-2 + … + a1 (8)1 + a0
(8)0 
และในกรณีเป็นทศนิยมจะได้
                n8  =   a-1 (8)-1 +
a-2 (8)-2 + … + a-(m-1) (8)-m+1 + a-m
(8)-m 
                ฉะนั้นถ้าเลขนั้น ๆ ประกอบไปด้วยจำนวนเต็มและทศนิยมก็จะได้
N8  = 
an-1 (8)n-1+ an-2 (8)n-2+…+
a1 (8)1+ a0 (8)0+ a-1 (8)-1+
a-2 (8)-2+…+ a-(m-1) (8)-m+1+ a-m
(8)-m
1.6     ระบบเลขฐานสิบหก
ระบบเลขฐานสิบหกมีลักษณะคล้ายเลขฐานแปด
โดยค่าต่ำสุดของเลขฐานสิบหก คือ 0 จะมีค่าเท่ากับค่าต่ำสุดของเลขฐานสอง
4 บิต คือ 0000 และโดยค่าสูงสุดของเลขฐานสิบหก
คือ F จะมีค่าเท่ากับค่าสูงสุดของเลขฐานสอง 4 บิต คือ 1111 ทำให้ระบบเลขฐานสิบหกจึงเป็นอีกระบบหนึ่งที่นิยมใช้แทนการกล่าวถึงเลขฐานสอง
และปัจจุบันจะเป็นที่นิยมใช้เลขฐานสิบหกมากกว่าเลขฐานแปด
| 
   
เลขฐานสิบ 
 | 
  
   
เลขฐานสิบหก 
 | 
  
   
เลขฐานสิบ 
 | 
  
   
เลขฐานสิบหก 
 | 
 
| 
   
0 
 | 
  
   
0 
 | 
  
   
8 
 | 
  
   
8 
 | 
 
| 
   
1 
 | 
  
   
1 
 | 
  
   
9 
 | 
  
   
9 
 | 
 
| 
   
2 
 | 
  
   
2 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
A 
 | 
 
| 
   
3 
 | 
  
   
3 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
B 
 | 
 
| 
   
4 
 | 
  
   
4 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
C 
 | 
 
| 
   
5 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
D 
 | 
 
| 
   
6 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
E 
 | 
 
| 
   
7 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
15 
 | 
  
   
F 
 | 
 
เลขฐานสิบหก N16 ซึ่งมีจำนวนเต็ม n หลัก จำนวนทศนิยม m หลัก จะมีค่าดังสมการ
N16  = 
an-1(16)n-1+an-2(16)n-2+…+a1(16)1+a0(16)0+a-1(16)-1+a-2(16)-2+…+
a-(m-1)(16)-m+1+ a-m(8)-m
1.7     การแปลงเลขฐานสอง เลขฐานแปดและเลขฐานสิบหก ให้เป็น
เลขฐานสิบ
เนื่อง จากมนุษย์มีความคุ้นเคยกับเลขฐานสิบสามารถเข้าใจเมื่อได้มีการสื่อความหมาย ด้วยเลขฐานสิบจึงทำให้เราต้องศึกษาวิธีการเปลี่ยนหรือแปลงค่าเลขฐานต่าง ๆ ให้เป็นเลขฐานสิบ เพื่อความเข้าใจได้มากขึ้น ซึ่งเราอาศัยหลักการเปลี่ยนเป็นเลขฐานสิบจากเลขฐานต่าง ๆ ได้ไม่ยากนัก สามารถแปลงเขฐานต่าง ๆ เป็นเลขฐานสิบได้โดยการนำเลขแต่ละตำแหน่งของฐานนั้น ๆ ไปคูณด้วยน้ำหนัก (Weighting) หรือค่าประจำหลักของเลขฐานนั้น ๆ แล้วนำมาบวกกัน เราก็จะได้ค่าออกมาเป็นเลขฐานสิบนั่นเอง
ตัวอย่างที่ 1.1 จงแปลงเลขฐานสอง 1101101 ให้เป็นเลขฐานสิบ
วิธีทำ      
             11011012
      =    (1´26) + (1´25) + (0´24) + (1´23) + (1´22) + (0´21) + (1´20) 
                      =    64   +   32   +   0   +   8   +   4   +   0   +   1
                      =    10910
ตัวอย่างที่ 1.2 จงแปลงเลขฐานสอง 0.1011 ให้เป็นเลขฐานสิบ
วิธีทำ      
             0.1011
2          =    (1´2-1) + (0´2-2) + (1´2-3) + (1´2-4) 
                                      =    1´0.5 
+  0´0.25 
+  1´0.125 
+  1´0.0625
                                      =    0.5   +   0   +   0.125   +   0.0625
                      =    0.687510
ตัวอย่างที่ 1.3 จงแปลงเลขฐานสอง 11101.011 ให้เป็นเลขฐานสิบ
วิธีทำ      
             11101.011
2   =    (1´24) + (1´23) + (1´22) + (0´21) + (1´20) + (0´2-1)+ (1´2-2)+ (1´2-3)
                                      =    1´16 
+  1´8 
+  1´4 
+  0´2 
+  1´1 
+  0´0.5 
+  1´0.25 
+  1´0.125 
                           =             16  + 
8  +  4 
+  0  + 
1  +  0 
+  0.25  + 
0.125 
                                      =    29.37510
ตัวอย่างที่ 1.4 จงแปลงเลขฐานแปด 2374 ให้เป็นเลขฐานสิบ
วิธีทำ      
             23748
             =    (2´83) + (3´82) + (7´81) + (4´80) 
                                      =    2´512 
+ 3´64 
+ 7´8 
+  4´1 
                                      =    1024  + 
192  +  56 
+  4 
                                      =    127610
ตัวอย่างที่ 1.5 จงแปลงเลขฐานแปด 0.325 ให้เป็นเลขฐานสิบ
วิธีทำ      
             0.3258
            =    (3´8-1) + (2´8-2) + (5´8-3) 
                                      =    3´0.125 + 2´0.015625
+ 5´0.001953 
                                      =    0.375  + 
0.3125  +  0.009765  
                                      =    0.41601510
ตัวอย่างที่
1.6       จงแปลงเลขฐานสิบหก E5
ให้เป็นเลขฐานสิบ
วิธีทำ
             E516
                =    (E´161) + (5´160) 
                                      =    14´16 
+ 5´1 
                                      =    224  + 
5  
                                      =    22910
ตัวอย่างที่ 1.7 จงแปลงเลขฐานสิบหก B2F8 ให้เป็นเลขฐานสิบ
วิธีทำ      
             B2F816
           =    (B´163) + (2´162) + (F´161) + (8´160)
                                      =    11´4096 + 2´256
+ 15´16 + 8´1
                                      =    45056  + 
512 + 240 + 8  
                                      =    4581610
1.8     การแปลงเลขฐานสิบให้เป็น เลขฐานสอง เลขฐานแปดและ
เลขฐานสิบหก
การแปลงเลขฐานสิบให้เป็นเลขฐานใด ๆ ก็ตาม จะมีวิธีการคิดเช่นเดียวกัน โดยการแบ่งลักษณะการแปลงได้ 2 กรณี คือ
1. กรณีเลขฐานสิบที่ต้องการแปลงเป็นเลขจำนวนเต็ม
เราทำการแปลงให้เป็นฐานใด ๆ ได้โดยการนำเลขจำนวนเต็มฐานสิบนั้น ๆ
มาหารด้วยเลขฐานที่ต้องการเปลี่ยน โดยเก็บเศษที่เหลือจากการหารเอาไว้
จากนั้นนำคำตอบที่เหลือจากการหารนำไปหารกับเลขฐานที่ต้องการแปลงและเก็บเศษจากการหารเอาไว้อีก
กระทำอย่างนี้ซ้ำ ๆ จนกระทั่งไม่สามารถนำคำตอบที่เหลือจากการหารไปหารได้อีก
เศษที่เหลือจากการหารในแต่ละครั้งนำมาเขียนรวมกันก็จะเป็นผลลัพธ์ของเลขฐานที่ต้องการเปลี่ยน
โดยเศษที่เหลื่อจากการหารในครั้งแรกสุด จะเป็นตัวที่มีนัยสำคัญน้อยที่สุด (Least
significant digit หรือ LSD) ส่วนเศษที่เหลือจากการหารในครั้งสุดท้ายจะเป็นตัวที่มีนัยสำคัญสูงที่สุด
(Most significant digit หรือ MSD) 
ตัวอย่างที่ 1.8       จงแปลง 2510 ให้เป็นเลขฐานสอง
วิธีทำ                                                                                      เศษ
                                25   ¸   2               =   12                      1              (LSD
หรือ LSB)
                                12   ¸   2               =   6                        0                 
                                6     ¸   2               =   3                        0                 
                                3     ¸   2               =   1                        1                 
                                1     ¸   2               =   0                        1              (MSD
หรือ MSB)
                \  2510    =    110012
2. กรณีเลขฐานสิบที่ต้องการแปลงเป็นเลขเศษส่วน(เลขทศนิยม) ซึ่ง
ไม่ใช่จำนวนเต็มเราทำการแปลงให้เป็นฐานใด
ๆ ได้ โดยการนำเลขฐานสิบนั้น ๆ
คูณด้วยเลขฐานที่จะเปลี่ยนแล้วเก็บค่าผลลัพธ์ที่ได้จากการคูณเฉพาะเลขจำนวน
เต็มที่อยู่หน้าจุดทศนิยม
จากนั้นนำคำตอบที่ได้จากการคูณในครั้งแรกเฉพาะเลขทศนิยมเท่านั้นมาทำการคูณ
กับเลขฐานที่ต้องการเปลี่ยนอีกแล้วเก็บค่าผลลัพธ์ที่ได้จากการคูณเฉพาะเลข
จำนวนเต็มที่อยู่หน้าจุดทศนิยมอีกครั้ง
กระทำอย่านี้ซ้ำ ๆ จนกระทั่งได้คำตอบที่เราเห็นว่าเหมาะสม
แล้วจึงนำค่าที่เราเก็บไว้มาเขียนเป็นเลขฐานที่เราต้องการซึ่งจะเป็นทศนิยม
โดยค่าจำนวนเต็มที่ได้จากการเก็บในครั้งแรกจะเป็น MSD 
ตัวอย่างที่ 1.8       จงแปลง 0.312510 ให้เป็นเลขฐานสอง
วิธีทำ                                                                                      จำนวนเต็มที่เก็บ
                                0.3125   ´   2       =   0.625                                0                              (MSD
หรือ MSB)
                                0.625     ´   2       =   1.25                                  1                 
                                0.25       ´   2        =   0.50                                  0                 
                                0.50       ´   2        =   1.00                                  1                 
                \  0.312510            =    0.01012
                กรณีเลขฐานสิบที่ต้องการแปลงเป็นเลขฐานอื่น ๆ 
เป็นเลขที่ผสมระหว่างเลขจำนวนเต็มและเลขทศนิยม (เลขจำนวนจริง)
ก็ให้ทำการแยกแปลง 2 ครั้ง
โดยแยกแปลงแบบหารสำหรับจำนวนเต็ม และ คูณสำหรับทศนิยม แล้วนำคำตอบมารวมกัน
ตัวอย่างที่ 1.9       จงแปลง 18.62510 ให้เป็นเลขฐานสอง
วิธีทำ      แยกคิด 2 ครั้ง คือ 1810 และ 0.62510
                ก) แปลง 
1810  ให้เป็นฐานสอง
                                                                                                เศษ
                                18   ¸   2               =   9                        0              (LSD
หรือ LSB)
                                9     ¸   2               =   4                        1                 
                                4     ¸   2               =   2                        0                 
                                2     ¸   2               =   1                        0                 
                                1     ¸   2               =   0                        1              (MSD
หรือ MSB)
                \  1810                 =    100102
                ข) แปลง 
0.62510  ให้เป็นฐานสอง
                                                                                                จำนวนเต็มที่เก็บ
                                0.625     ´   2       =   1.250                                1                              (MSD
หรือ MSB)
                                0.250     ´   2       =   0.500                                0
                                0.5
        ´   2        =   1.0                                     1
                                0.0         ´   2        =   0                                        0
                \  0.62510              =    0.1012
                \  18.62510            =    10010.1012
ตัวอย่างที่ 1.10     จงแปลง 359.2810
ให้เป็นเลขฐานแปด
วิธีทำ      แยกคิด 2 ครั้ง คือ 35910 และ 0.2810
                ก) แปลง 
35910  ให้เป็นฐานแปด
                                                                                                เศษ
                                359
¸   8               =   44                      7              (LSD)
                                44   ¸   8               =   5                        4                 
                                5     ¸   8               =   0                        5              (MSD)
                \  35910                 =    5478
                ข) แปลง 
0.2810  ให้เป็นฐานแปด
                                                                                                จำนวนเต็มที่เก็บ
                                0.28       ´   8        =   2.24                                  2                              (MSD)
                                0.24       ´   8        =   1.92                                  1
                                0.92
      ´   8        =   7.36                                  7
                                0.36       ´   8        =   2.88                                  2
                                0.88       ´   8        =   7.04                                  7
                \  0.2810                =    0.217278
                \  359.2810            =    547.217278
ตัวอย่างที่ 1.11     จงแปลง 650.0510
ให้เป็นเลขฐานสิบหก
วิธีทำ      แยกคิด 2 ครั้ง คือ 65010 และ 0.0510
                ก) แปลง 
65010  ให้เป็นฐานสิบหก
                                                                                                เศษ
                                650
¸   16            =   40                      10
          คือ           A             (LSD)
                                40   ¸   16             =   2                        8                 
                                2     ¸   16             =   0                        2              (MSD)
                \  65010                 =    28A16
                ข) แปลง 
0.0510  ให้เป็นฐานสิบหก
                                                                                                จำนวนเต็มที่เก็บ
                                0.05       ´   16     =   0.80                                  0                              (MSD)
                                0.80       ´   16     =   1.28                                  1
                                0.28
      ´   16     =   3.48                                  3
                                0.48       ´   16     =   7.68                                  7
                                0.68       ´   16     =   10.88                                10           คือ           A
                \  0.0510                =    0.0137A16
                \  650.0510            =    28A.0137A16
1.9 การแปลงระหว่างเลขฐานแปดกับเลขฐานสอง
                จากหัวข้อที่เราได้ศึกษามาแล้ว
ถ้าเราต้องการที่จะแปลงเลขระหว่างเลขฐานแปดกับเลขฐานสองนั้น
เราจะกระทำได้โดยแปลงเลขฐานที่ต้องการแปลงให้เป็นเลขฐานสิบก่อนจากนั้นจึงค่อยแปลงจากเลขฐานสิบไปเป็นเลขฐานที่ต้องการ
ซึ่งจะเห็นว่ามีวิธีการที่ยุ่งยากเสียเวลามาก ถ้าเราสังเกตจากตารางดังต่อไปนี้
ซึ่งเทียบค่าระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานแปดจะเห็นว่า
ความสัมพันธ์ของเลขฐานแปดที่เป็นเลขพื้นฐาน 1 ตัว
สามารถแทนด้วยเลขฐานสองขนาด 3 bit พอดี
  เลขฐานสิบ | 
  
   
เลขฐานสอง 
 | 
  
   
เลขฐานแปด 
 | 
 
| 
   
0 
 | 
  
   
000 
 | 
  
   
0 
 | 
 
| 
   
1 
 | 
  
   
001 
 | 
  
   
1 
 | 
 
| 
   
2 
 | 
  
   
010 
 | 
  
   
2 
 | 
 
| 
   
3 
 | 
  
   
011 
 | 
  
   
3 
 | 
 
| 
   
4 
 | 
  
   
100 
 | 
  
   
4 
 | 
 
| 
   
5 
 | 
  
   
101 
 | 
  
   
5 
 | 
 
| 
   
6 
 | 
  
   
110 
 | 
  
   
6 
 | 
 
| 
   
7 
 | 
  
   
111 
 | 
  
   
7 
 | 
 
                ดังนั้นในการแปลงระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานแปดเราสามารถกระทำได้โดยการจับกลุ่มของเลขฐานสอง
3 bit ต่อเลขฐานแปด 1 หลัก
โดยเทียบค่ากัน ตัวต่อตัว
ตัวอย่างที่ 1.12     จงแปลงเลขฐานแปดต่อไปนี้เป็นเลขฐานสอง
ก)                 
478
ข)                 
7528
ค)                 
37.128
วิธีทำ
ก) 478 = 100 1112
                ข)            7528        =             111  101 
0102
                ค)            37.128       =             011  111 . 001 0102
ตัวอย่างที่ 1.13     จงแปลงเลขฐานสองต่อไปนี้เป็นเลขฐานแปด
ก)                 
1011110012
ข)                 
10111001102
ค)                 
1001101.10112
วิธีทำ
ก) 101 111 0012 = 5 7 18
                ข)            001
011 100 1102                =             1
3 4 68
                ค)            001
001 101 . 101 1002         =             1
1 5 . 5 48
1.10 การแปลงระหว่างเลขฐานสิบหกกับเลขฐานสอง
                ใน
ลักษณะเดียวกัน
ถ้าเราต้องการที่จะแปลงเลขระหว่างเลขฐานสิบหกกับเลขฐานสองนั้น 
เราจะกระทำได้โดยแปลงเลขฐานที่ต้องการแปลงให้เป็นเลขฐานสิบก่อนจากนั้นจึง
ค่อยแปลงจากเลขฐานสิบไปเป็นเลขฐานที่ต้องการ
ซึ่งจะเห็นว่ามีวิธีการที่ยุ่งยากเสียเวลามากเช่นเดียวกัน
ถ้าเราสังเกตจากตารางดังต่อไปนี้
ซึ่งเทียบค่าระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานสิบหกก็จะเห็นเช่นกันว่า
ความสัมพันธ์ของเลขฐานสิบหกที่เป็นเลขพื้นฐาน 1 ตัว
สามารถแทนด้วยเลขฐานสองขนาด 4 bit พอดี
  เลขฐานสิบ | 
  
   
เลขฐานสอง 
 | 
  
   
เลขฐานสิบหก 
 | 
 
| 
   
0 
 | 
  
   
0000 
 | 
  
   
0 
 | 
 
| 
   
1 
 | 
  
   
0001 
 | 
  
   
1 
 | 
 
| 
   
2 
 | 
  
   
0010 
 | 
  
   
2 
 | 
 
| 
   
3 
 | 
  
   
0011 
 | 
  
   
3 
 | 
 
| 
   
4 
 | 
  
   
0100 
 | 
  
   
4 
 | 
 
| 
   
5 
 | 
  
   
0101 
 | 
  
   
5 
 | 
 
| 
   
6 
 | 
  
   
0110 
 | 
  
   
6 
 | 
 
| 
   
7 
 | 
  
   
0111 
 | 
  
   
7 
 | 
 
| 
   
8 
 | 
  
   
1000 
 | 
  
   
8 
 | 
 
| 
   
9 
 | 
  
   
1001 
 | 
  
   
9 
 | 
 
| 
   
10 
 | 
  
   
1010 
 | 
  
   
A 
 | 
 
| 
   
11 
 | 
  
   
1011 
 | 
  
   
B 
 | 
 
| 
   
12 
 | 
  
   
1100 
 | 
  
   
C 
 | 
 
| 
   
13 
 | 
  
   
1101 
 | 
  
   
D 
 | 
 
| 
   
14 
 | 
  
   
1110 
 | 
  
   
E 
 | 
 
| 
   
15 
 | 
  
   
1111 
 | 
  
   
F 
 | 
 
                ดังนั้นในการแปลงระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานสิบหกเราสามารถกระทำได้โดยการจับกลุ่มของเลขฐานสอง
4 bit ต่อเลขฐานสิบหก 1 หลัก
โดยเทียบค่ากัน ตัวต่อตัวเช่นเดียวกับฐานแปด
ตัวอย่างที่ 1.14     จงแปลงเลขฐานสิบหกต่อไปนี้เป็นเลขฐานสอง
ก)                 
CF3716
ข)                 
975216
ค)                 
D27.8216
วิธีทำ
ก) CF3716 = 1100 1111 0011 01112
                ข)            975216                              =             1001  0111  0101  00102
ค)            D27.8216                        =             1101  0010  0111 . 1000  00102
ตัวอย่างที่ 1.15     จงแปลงเลขฐานสองต่อไปนี้เป็นเลขฐานสิบหก
ก)                 
1011101110012
ข)                 
10111001111102
ค)                 
100111101.1100112
วิธีทำ
ก) 1011 1011 10012 = B B 916
                ข)            0001
 0111  0011  11102   =             1
7 3 E16
                ค)            0001
 0011  1101 . 1100 11002            =             1
3 D . C C16
1.11   การบวกเลขฐานต่าง ๆ
                การบวกเลขฐานสอง         มีวิธีการคล้ายคลึงกับการบวกเลขฐานสิบแต่จะมีหลักเกณฑ์ที่ง่ายกว่า ดังนี้
                                0
 +  0     =             0
                                0  + 
1     =             1
                                1  + 
0     =             1
                                1  + 
1     =             0              ทดไปหลักต่อไปอีก   1
ตัวอย่างที่ 1.16     
                ก)            1002                           410
                                +102                                   +210
                                1102                                       610
                ข)            11112                        1510
                           
+11002                                  +1210
                           
110112                                      2710
                ค)            101.112                  
                           
+  11.012                              
                           
1001.002                                 
                การบวกเลขฐานแปด         มีวิธีการบวกคล้ายคลึงกับการบวกเลขฐานสิบเช่นเดียวกัน ซึ่งมีตารางการบวก
ดังนี้
ตารางการบวกเลขฐานแปด
| 
   
+ 
 | 
  
   
0 
 | 
  
   
1 
 | 
  
   
2 
 | 
  
   
3 
 | 
  
   
4 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
 
| 
   
0 
 | 
  
   
0 
 | 
  
   
1 
 | 
  
   
2 
 | 
  
   
3 
 | 
  
   
4 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
 
| 
   
1 
 | 
  
   
1 
 | 
  
   
2 
 | 
  
   
3 
 | 
  
   
4 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
10 
 | 
 
| 
   
2 
 | 
  
   
2 
 | 
  
   
3 
 | 
  
   
4 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
 
| 
   
3 
 | 
  
   
3 
 | 
  
   
4 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
 
| 
   
4 
 | 
  
   
4 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
 
| 
   
5 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
14 
 | 
 
| 
   
6 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
15 
 | 
 
| 
   
7 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
15 
 | 
  
   
16 
 | 
 
ตัวอย่างที่ 1.17     จงบวกเลขฐานแปดต่อไปนี้              
                ก)            758  + 
338
                ข)            35278  + 
6748
วิธีทำ
ก)                            758
         
                  +338                                         
                          
                 1308                                          
                ข)                            35278                     
                         
                  +
6748
                           
                    44238                                   
                การบวกเลขฐานสิบหก     มีวิธีการบวกคล้ายคลึงกับการบวกเลขฐานสิบเช่นเดียวกัน
ซึ่งในขั้นแรกหากยังไม่มีความชำนาญในการบวกเลขฐานแปดและฐานสิบหกก็อาจจำเป็นต้องใช้ตารางการบวกช่วยได้
ดังนี้
ตารางการบวกเลขฐานสิบหก
| 
   
+ 
 | 
  
   
0 
 | 
  
   
1 
 | 
  
   
2 
 | 
  
   
3 
 | 
  
   
4 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
8 
 | 
  
   
9 
 | 
  
   
A 
 | 
  
   
B 
 | 
  
   
C 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
 
| 
   
0 
 | 
  
   
0 
 | 
  
   
1 
 | 
  
   
2 
 | 
  
   
3 
 | 
  
   
4 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
8 
 | 
  
   
9 
 | 
  
   
A 
 | 
  
   
B 
 | 
  
   
C 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
 
| 
   
1 
 | 
  
   
1 
 | 
  
   
2 
 | 
  
   
3 
 | 
  
   
4 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
8 
 | 
  
   
9 
 | 
  
   
A 
 | 
  
   
B 
 | 
  
   
C 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
 
| 
   
2 
 | 
  
   
2 
 | 
  
   
3 
 | 
  
   
4 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
8 
 | 
  
   
9 
 | 
  
   
A 
 | 
  
   
B 
 | 
  
   
C 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
 
| 
   
3 
 | 
  
   
3 
 | 
  
   
4 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
8 
 | 
  
   
9 
 | 
  
   
A 
 | 
  
   
B 
 | 
  
   
C 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
 
| 
   
4 
 | 
  
   
4 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
8 
 | 
  
   
9 
 | 
  
   
A 
 | 
  
   
B 
 | 
  
   
C 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
 
| 
   
5 
 | 
  
   
5 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
8 
 | 
  
   
9 
 | 
  
   
A 
 | 
  
   
B 
 | 
  
   
C 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
14 
 | 
 
| 
   
6 
 | 
  
   
6 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
8 
 | 
  
   
9 
 | 
  
   
A 
 | 
  
   
B 
 | 
  
   
C 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
15 
 | 
 
| 
   
7 
 | 
  
   
7 
 | 
  
   
8 
 | 
  
   
9 
 | 
  
   
A 
 | 
  
   
B 
 | 
  
   
C 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
15 
 | 
  
   
16 
 | 
 
| 
   
8 
 | 
  
   
8 
 | 
  
   
9 
 | 
  
   
A 
 | 
  
   
B 
 | 
  
   
C 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
15 
 | 
  
   
16 
 | 
  
   
17 
 | 
 
| 
   
9 
 | 
  
   
9 
 | 
  
   
A 
 | 
  
   
B 
 | 
  
   
C 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
15 
 | 
  
   
16 
 | 
  
   
17 
 | 
  
   
18 
 | 
 
| 
   
A 
 | 
  
   
A 
 | 
  
   
B 
 | 
  
   
C 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
15 
 | 
  
   
16 
 | 
  
   
17 
 | 
  
   
18 
 | 
  
   
19 
 | 
 
| 
   
B 
 | 
  
   
B 
 | 
  
   
C 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
15 
 | 
  
   
16 
 | 
  
   
17 
 | 
  
   
18 
 | 
  
   
19 
 | 
  
   
1A 
 | 
 
| 
   
C 
 | 
  
   
C 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
15 
 | 
  
   
16 
 | 
  
   
17 
 | 
  
   
18 
 | 
  
   
19 
 | 
  
   
1A 
 | 
  
   
1B 
 | 
 
| 
   
D 
 | 
  
   
D 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
15 
 | 
  
   
16 
 | 
  
   
17 
 | 
  
   
18 
 | 
  
   
19 
 | 
  
   
1A 
 | 
  
   
1B 
 | 
  
   
1C 
 | 
 
| 
   
E 
 | 
  
   
E 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
15 
 | 
  
   
16 
 | 
  
   
17 
 | 
  
   
18 
 | 
  
   
19 
 | 
  
   
1A 
 | 
  
   
1B 
 | 
  
   
1C 
 | 
  
   
1D 
 | 
 
| 
   
F 
 | 
  
   
F 
 | 
  
   
10 
 | 
  
   
11 
 | 
  
   
12 
 | 
  
   
13 
 | 
  
   
14 
 | 
  
   
15 
 | 
  
   
16 
 | 
  
   
17 
 | 
  
   
18 
 | 
  
   
19 
 | 
  
   
1A 
 | 
  
   
1B 
 | 
  
   
1C 
 | 
  
   
1D 
 | 
  
   
1E 
 | 
 
ตัวอย่างที่ 1.18     จงบวกเลขฐานสิบหกต่อไปนี้           
                                1A816  + 
67B16
วิธีทำ คอลัมน์ 3 2 1
                                                                                                                1
A 8
                                                                                                       +     6 7 B
                                                                                                                8
2 3
                วิธีคิด      
                                คอลัมน์ 1  :
                                                8  + 
B    =             810  + 
1110
=             1910
         
                                      =             16
+ 3                               
                          
                                     =             1316                                                     ผลบวกคือ 3, ตัวทดคือ 1
                                คอลัมน์ 2  :
                                                1  + A 
+  7            =             1  + 1010  + 
710
=             1810
         
                                                      =             16
+ 2                               
                          
                                                     =             1216                             ผลบวกคือ 2, ตัวทดคือ 1
                                คอลัมน์ 3  :
                                                1  + 
1  +  6            =             810
=             816                           ผลบวกคือ 8, ไม่มีตัวทด
1.12   การลบเลขฐานต่าง ๆ
                การลบเลขฐานสอง            การลบเลขฐานสองก็จะมีลักษณะคล้ายกับการลบเลขฐานสิบโดยทั่วไป
นั่นคือกรณีตัวตั้งมีค่ามากกว่าตัวลบ เราก็สามารถลบกันได้ทันที
แต่หากตัวตั้งมีค่าน้อยกว่าตัวลบเราก็จำเป็นต้องยืมตัวถัดไปมา 1 ดังเช่นเลขฐานสิบ ซึ่งการลบเลขฐานสองมีตารางการลบดังนี้
                                0  - 
0      =             0              ตัวยืม      0
                                0  - 
1      =             -1            ตัวยืม      1
                                1  - 
0      =             1              ตัวยืม      0
                                1  - 
1      =             0              ตัวยืม      0
ตัวอย่างที่
1.19     จงลบเลขฐานสองต่อไปนี้ 
                                1012  - 
0112
วิธีทำ                                      1  0 
12                                                    510
                                      -       0  1 
12                                                
- 310
                                                0  1 
02                                                    
210
                การลบเลขฐานแปดและฐานสิบหก                การลบเลขฐานแปดและเลขฐานสิบหกจะมีหลักการเหมือนกับเลขฐานสองและเลขฐานสิบ
แต่ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีควสมคุ้นเคยนักในการหักลบเลขหรือยืมค่าระหว่างหลักต่าง ๆ
กัน ฉะนั้นหากยังไม่มีความชำนาญในการลบเลข ในระยะแรกเราสามารถ
ใช้ตารางบวกเลขฐานแปดหรือตารางบวกเลขฐานสิบหก ช่วยในการหาผลลบได้
โดยดูว่าตัวตั้งหรือตัวลบเลขจำนวนใดมีค่าน้อยกว่า
เปรียบเทียบทีละหลักเริ่มจาหลักที่มีนัยสำคัญน้อยที่สุด (LSD) นำเลขจำนวนที่น้อยกว่ามาไล่ตามคอลัมน์ริมซ้ายสุด เมื่อพบเลขตัวนี้แล้ว
ก็ให้กวาดไปตามแนวนอนจนพบตัวเลขอีกตัวที่มากกว่า ผลลบของเลขสองจำนวนนี้คือ
ตัวเลขบนสุดที่ตรงกับเลขในแถวนี้ เช่น 78 - 48 กระทำโดยใช้ 4 ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่านำมาไล่ที่คอลัมน์ริมซ้ายมือสุด
เมื่อพบแล้วจึงกวาดมาตามแนวนอนทางขวามือจนพบเลข 7 มองขึ้นด้านบนสุดจะพบเลข
3 ซึ่งจะเป็นคำตอบที่เป็นผลลบของเลขสองจำนวนนี้
1.13   การคูณเลขฐานต่าง ๆ
                การคูณเลขฐานต่าง ๆ จะมีหลักการคูณที่เหมือนกับการคูณเลขฐานสิบ
สำหรับการคูณเลขฐานสองนั้น ดูเหมือนว่าจะมีความง่ายเป็นอย่างมากในการคูณ เนื่องจาก
0 คูณอะไรก็จะได้ 0 ส่วน 1 นำไปคูณอะไร ก็จะได้ตัวตั้งนั้น
และเนื่องจากว่าในการแปลงค่าระหว่างเลขฐานสองกับเลขฐานแปดและเลขฐานสิบหกนั้นมีความยุ่งยากน้อยมาก
ทำให้ในการทำการบวก ลบ คูณ หาร ของเลขฐานแปดและเลขฐานสิบหก
เราจึงนิยมเปลี่ยนเป็นเลขฐานสองก่อนแล้วจึงหาคำตอบ
เสร็จแล้วจึงเปลี่ยนกลับเป็นเลขฐานแปดหรือเลขฐานสิบหกตามที่ต้องการ
ตารางการคูณเลขฐานสอง
| 
   
´ 
 | 
  
   
0 
 | 
  
   
1 
 | 
 
| 
   
0 
 | 
  
   
0 
 | 
  
   
0 
 | 
 
| 
   
1 
 | 
  
   
0 
 | 
  
   
1 
 | 
 
ตัวอย่างที่
1.20     จงคูณ 10112  ด้วย  10012    
วิธีทำ                                      10112
          
´10012
                                                10112
           
00002
         
00002
      10112      
      11000112
1.14   การหารเลขฐานต่าง ๆ
                การหารเลขฐานต่าง ๆ เราสามารถนำเอาตารางการคูณเลขฐานนั้น ๆ
และนำความรู้จากเลขฐานสิบมาใช้ โดยจะหารเลขฐานสองจะเป็นการสะดวกที่สุด
ตัวอย่างที่
1.21     จงคูณ 11002  ด้วย  1002    
วิธีทำ                                             112
                                                   100
                                                     100
                                                      100
                                                      000
1.15   คอมพลีเมนต์ (Complement)
                ระบบเลขที่ใช้กันใน Computer จะเป็นเลข Binary
ดังนั้นหากต้องการบวกและลบเลขจึงจำเป็นต้องมีทั้งวงจรบวกเลขและลบเลข
จึงทำให้เกิดความยุ่งยากมาก
อีกทั้งหากผลลัพธ์เกิดค่าที่ติดลบจะเกิดปัญหาว่าจะแสดงเครื่องหมายอย่างไร ดังนั้น
ในระบบ Computer จะมีการนำ Complement มาใช้ในการลบเลขแต่จะใช้วิธีการบวกกับ
Complement ของตัวลบ ซึ่งจะได้ผลลบ และหากผลลัพธ์เกิดมีค่าติดลบ
ก็จะแสดงค่าผลลัพธ์เป็นเลข Complement
                การคอมพลีเมนต์เลขฐานสอง        ในระบบเลข Binary จะมี Complement อยู่ 2 อย่าง คือ
                1’s
complement คือการกลับสถานะของสัญญาณ จาก 0 เป็น 1 และจาก 1 เป็น 0
ทุก ๆ บิต เช่น 1’s complement ของ 1100011
คือ 0011100
                2’s
complement คือผลบวกของ 1’s complement กับ
เช่น 2’s complement ของ 1100011 คือ 0011100
+ 1 = 0011101 ซึ่งมีวิธีคิดแบบลัดคือ ให้มองจากบิตต่ำสุด(ขวาสุด) ไปยังบิตสูงสุด(ซ้ายสุด)
หา 1 ตัวแรกให้พบ หากยังไม่พบ
ให้คงค่าเดิมเอาไว้ จนกระทั้งพบ 1 ตัวแรกก็ยังคง 1 ไว้ หลังจากนั้นให้เปลี่ยนค่าที่เหลือ จาก0 เป็น 1
และ จาก 1 เป็น 0 ทั้งหมด
ตัวอย่างที่ 1.22
                                                Binary
Number                   1’s
complement                   2’s
complement
                                                          
10101                                 
01010                                    
01011
                                                          
10111                                 
01000                                    
01001
                                                        
111100                                000011                                  
000100
                                                     11011011                           00100100                              00100101
                การคอมพลีเมนต์เลขฐานสิบ          ในระบบเลขฐานสิบจะมี Complement อยู่ 2 อย่าง เช่นกันคือ
                9’s
complement คือการนำเลขฐานสิบในหลักต่าง ๆ แต่ละหลักมาลบกับ 9
เช่น 9’s complement ของ 115 คือ 999 – 115 = 884
                10’s
complement คือ การนำ 9’s complement มาบวกกับ
1 เช่น 10’s complement ของ 115
คือ 999 – 115 
+ 1 = 885  
                การคอมพลีเมนต์เลขฐานแปด        ในระบบเลขฐานแปดจะมี Complement อยู่ 2 อย่าง เช่นกันคือ
                7’s
complement คือการนำเลขฐานแปดในหลักต่าง ๆ แต่ละหลักมาลบกับค่าสูงสุดคือ
7 เช่น 7’s complement ของ 115 คือ 777 – 115 = 662
                8’s
complement คือ การนำ 7’s complement มาบวกกับ
1 เช่น 8’s complement ของ 115 คือ 777 – 115  + 1 = 663
                การคอมพลีเมนต์เลขฐานสิบหก    ในระบบเลขฐานสิบหกจะมี Complement อยู่ 2 อย่าง เช่นกันคือ
                15’s
complement คือการนำเลขฐานสิบหกในหลักต่าง ๆ
แต่ละหลักมาลบกับค่าสูงสุดคือ F เช่น 15’s complement
ของ 115 คือ FFF – 115 = EEA
                16’s
complement คือ การนำ 15’s complement มาบวกกับ
1 เช่น 16’s complement ของ 115
คือ FFF – 115 
+ 1 = EEB
                จะเห็นว่าทุก ๆ ฐาน จะมีคอมพลีเมนต์ของแต่ละฐานอยู่ 2 ชนิด คือคอมพลีเมนต์ฐาน (radix complement or r’s complement) เช่น คอมพลีเมนต์ของ 2 (2 r’s complement) ซึ่งเป็นของระบบเลขฐานสอง
หรือ คอมพลีเมนต์ของ 10 (10 r’s complement) ซึ่งเป็นของระบบเลขฐานสิบ
                ส่วนคอมพลีเมนต์อีกชนิดหนึ่งคือ คอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่ง (radix-minus-one  complement หรือ diminished
radix complement or (r-1)’s complement) เช่น คอมพลีเมนต์ของ 1
(1 r’s complement) ซึ่งเป็นของระบบเลขฐานสอง หรือ คอมพลีเมนต์ของ 9
(9 r’s complement) ซึ่งเป็นของระบบเลขฐานสิบ
1.16   การลบเลขโดยใช้คอมพลีเมนต์ฐาน
                จากประโยชน์ของเลขคอมพลีเมนต์ที่ใช้ในการหาผลลบของระบบเลขโดยใช้การบวกและสามารถแสดงค่าที่ติดลบได้นั้น
ทำให้ในระบบ computer นิยมนำ complement ใช้ในการลบเลข ซึ่งหากใช้คอมพลีเมนต์ฐานในการลบเลขมีวิธีการคิดดังนี้
1)     
หาคอมพลีเมนต์ฐานของตัวลบ
ถ้าตัวลบมีจำนวนหลักน้อยกว่าตัวตั้ง
ก็ต้องทำจำนวนหลักของตัวลบให้มีจำนวนหลักเท่ากับตัวตั้งก่อนแล้วจึงหาค่อยคอมพลีเมนต์ฐาน
2)     
นำตัวตั้งมาบวกกับคอมพลีเมนต์ฐานของตัวลบที่หาได้จากข้อ
1)
3)     
ตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้จากการบวกในข้อ 2) ว่ามีตัวทดสุดท้าย
(End around carry)หรือไม่
-         
ถ้ามี End around carry ให้ตัดทิ้ง
ที่เหลือจะได้ค่าผลลัพธ์ที่ได้จากการลบ โดยมีค่าเป็นบวก
-         
ถ้าไม่มี End around carry ก็ให้หาคอมพลีเมนต์ฐานของผลลัพธ์ที่ได้
ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ที่ได้จาการลบตามต้องการ แต่มีค่าเป็นลบ
ตัวอย่างที่ 1.23     จงลบเลขฐานสองต่อไปนี้ โดยใช้  2’s complement
ก)                 
1100
– 1011
ข)                 
10011
– 11100
วิธีทำ      ก)            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 2’s complement
                                         
1100                                                                                                      
1100
                                ผลลบ คือ 0001
ข)            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 2’s complement
                                         
10011                                                                                                   
10011
                                ผลลบ คือ –( 2’s complement ของ 10111) =  -01001
ตัวอย่างที่ 1.24     จงลบเลขฐานสิบต่อไปนี้ โดยใช้  10’s complement
ก)     
196  – 155
ข)     
3250 – 72532
วิธีทำ      ก)            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 10’s complement
                                         
196                                                                                                        
196
                                ผลลบ คือ 41
ข)            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 10’s complement
                                           
3250                                                                                                      
3250
                                ผลลบ คือ –( 10’s complement ของ 30718) =  -69282
1.16   การลบเลขโดยใช้คอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่ง
                การ
ใช้คอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่งในการหาผลลบของระบบเลขโดยใช้การบวกจะมีวิธีการที่
เหมือนกับการลบโดยใช้คอมพลีเมนต์ฐานแต่ต่างกันตรงการพิจารณาตัวทดสุดท้าย
(End around carry) ซึ่งหากใช้คอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่งในการลบเลขมีวิธีการคิดดังนี้
1)      หาคอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่งของตัวลบ ถ้าตัวลบมีจำนวนหลักน้อยกว่าตัวตั้ง
ก็ต้องทำจำนวนหลักของตัวลบให้มีจำนวนหลักเท่ากับตัวตั้งก่อนแล้วจึงหาค่อยคอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่ง
2)     
นำตัวตั้งมาบวกกับคอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่งของตัวลบที่หาได้จากข้อ
1)
3)     
ตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้จากการบวกในข้อ 2) ว่ามีตัวทดสุดท้าย
(End around carry)หรือไม่
-         
ถ้ามี End around carry ให้นำไปบวกกับหลักที่มีนัยสำคัญน้อยที่สุด
(LSD) ซึ่งจะได้ค่าผลลัพธ์ที่ได้จากการลบตามต้องการ
โดยมีค่าเป็นบวก
-         
ถ้าไม่มี End around carry ก็ให้หาคอมพลีเมนต์ฐานลบหนึ่งของผลลัพธ์ที่ได้
ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ที่ได้จาการลบตามต้องการ แต่มีค่าเป็นลบ
ตัวอย่างที่ 1.25     จงลบเลขฐานสองต่อไปนี้ โดยใช้  1’s complement
ก)      11001
– 10011
ข)     
1001
– 1100
วิธีทำ      ก)            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 1’s complement
                                          11001                                                                                                   
11001
                                                                                                                                                         00110
                                ผลลบ คือ 00110
ข)            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 1’s complement
                                         
1001                                                                                                      
1001
                                ผลลบ คือ –( 1’s complement ของ 1011) =  -0100
ตัวอย่างที่ 1.24     จงลบเลขฐานสิบต่อไปนี้ โดยใช้  9’s complement
ค)     
54  – 21
ง)     
3250 – 72532
วิธีทำ      ก)            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 9’s complement
                                          54                                                                                          
54
                                                                                                                                                        + 
1
                                                                                                                                                         33
                                ผลลบ คือ 33
ข)            ลบแบบธรรมดา                                                                   ลบโดยใช้ 9’s complement
                                           
3250                                                                                                      
3250
                                ผลลบ คือ –( 10’s complement ของ 30717) =  -69282



0 comments:
Post a Comment